เผยแพร่ |
---|
วว. เจ๋ง วิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพิ่มผลผลิต สร้างมูลค่ากล้วยไข่กำแพงเพชร ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร
กล้วยเป็นผลไม้ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจชนิดหนึ่งของประเทศไทย สามารถปลูกได้ทั่วทุกภาคของประเทศ โดยผลผลิตส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 80 ใช้บริโภคภายในประเทศ ส่วนที่เหลือเป็นการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ โดยในปี พ.ศ. 2558-2561 ประเทศไทยมีการส่งออกกล้วยสดในปริมาณ 33,067.72 24,182.74 28,436.91 และ 84,110.47 ตัน คิดเป็นมูลค่า 459.45, 329.38, 465.80 และ 724.8 ล้านบาท
จังหวัดกำแพงเพชรนับเป็นอีกหนึ่งแหล่งปลูกสำคัญ และได้รับขนานนามว่าเป็นเมืองกล้วยไข่ เนื่องจากมีกล้วยไข่เป็นผลไม้ที่เป็นเอกลักษณ์ประจำจังหวัด ติดทำเนียบกล้วยไข่ที่อร่อยที่สุด จนเป็นที่รู้จักโดยทั่วไป โดยลักษณะเด่นของกล้วยไข่พันธุ์พื้นเมืองกำแพงเพชรคือ ต้นเล็กสูงประมาณ 2-3 เมตร เมื่อสุกแล้วสีเหลืองสดใส แก่จัดผิวจะตกกระเป็นจุดสีน้ำตาลดำ รสชาติหวานจัดวัดได้ประมาณ 24 องศาบริกซ์ ไม่มีรสเปรี้ยว เนื้อแน่นเหนียวตลอดทั้งลูก ผิดกับที่ปลูกจังหวัดและพันธุ์อื่นๆ รสชาติต่างกันมาก
แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะในปัจจุบันพื้นที่ปลูกกลับลดลงอย่างมาก เดิมจังหวัดกำแพงเพชรมีเกษตรกรปลูกกล้วยไข่มากถึง 40,000 ไร่ แต่ปัจจุบันลดลงมาเหลือน้อยกว่า 3,000 ไร่ กระจายอยู่ในเขตอำเภอเมือง อำเภอคลองขลุง อำเภอโกสัมพี และอำเภอคลองลาน แต่ยังสามารถทำเงินให้เกษตรกรได้ไม่ต่ำกว่า 60 ล้านบาท
สาเหตุหลักๆ เกิดจากลมพายุในช่วงต้นฤดูฝนในเดือนมีนาคม และช่วงปลายฤดูฝนในเดือนตุลาคม มีลมกระโชกแรงบางครั้ง และยังมีลูกเห็บตกลงมาทำให้ลมพัดต้นกล้วยไข่หักเสียหาย ประกอบกับกล้วยไข่ให้ผลผลิตเพียงปีละครั้ง ถ้าเสียหายก็ทำให้ผู้ปลูกขาดทุนหมด อีกทั้งในการปลูกกล้วยให้ได้คุณภาพ ทั้งในเชิงปริมาณและรูปทรงของผลผลิต จะทำการปลูกรุ่นต่อรุ่น จำเป็นต้องรื้อแปลงปลูกใหม่ทุกปีทำให้มีต้นทุนสูงตามไปด้วยทำให้กระบวนการปลูกมีต้นทุนที่สูงขึ้น เกษตรกรจึงหันไปปลูกพืชอื่นทดแทนการปลูกกล้วยไข่ ส่งผลให้ผลผลิตมีปริมาณลดลง
ฟื้นฟู พัฒนา กล้วยไข่กำแพงเพชร เชิงคุณภาพ
ด้วยเหตุนี้ ดร.กุศล เอี่ยมทรัพย์ นักวิจัยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) จึงได้ทำงานวิจัยผ่านการสนับสนุนทุนวิจัยภายใต้แผนงาน Smart Farming ประจำปี 2563 ของสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) เพื่อทำการวิจัยเพิ่มเติมเรื่องของการลดความสูงของลำต้นกล้วยไข่เพิ่มความแข็งแรงลดความเสียหายจากการหักล้มจากปัจจัยต่างๆ ในสภาวะแวดล้อมจริง และการวิจัยเพื่อเพิ่มขนาดน้ำหนักของผลกล้วย ยกระดับคุณภาพของกล้วยไข่ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานรวมทั้งส่งผลให้ราคาต่อหน่วยที่สูงขึ้น
โดยแบ่งการวิจัยออกเป็น 2 กิจกรรม ได้แก่
กิจกรรมที่ 1 การวิจัยการผลิตกล้วยด้วยเทคโนโลยีการผลิตกล้วยไข่ต้นเตี้ยเพื่อลดความเสียหายจากการหักล้มจากลมพายุในกล้วยไข่ มีการจัดทำแปลงทดลองสาธิตจำนวน 2 แปลงในอำเภอเมืองและอำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร โดยการทดลองความเข้มข้นของสารใช้สารแพคโคลบิวทราโซลที่ระดับ 5, 10 และ 15 กรัม จากสารที่มีความเข้มข้น 10 เปอร์เซ็นต์ ด้วยการใส่สารผสมน้ำรดโคนต้นครั้งเดียวโดยใช้แผนการทดลองแบบ Factorial in RCB จำนวน 4 ซ้ำ ในอายุต้นกล้วยที่ต่างกัน
รวมถึงการจัดเก็บข้อมูลความสูงของลำต้นกล้วยไข่ ความกว้างและความยาวของใบ เส้นรอบวงลำต้นและเส้นผ่าศูนย์กลางลำต้นส่วนโคนต้น เส้นรอบวงลำต้นและเส้นผ่าศูนย์กลางลำต้นส่วนกลางลำต้น เส้นรอบวงลำต้นและเส้นผ่าศูนย์กลางลำต้นส่วนปลายลำต้น (ทุก 30 วัน) จัดเก็บข้อมูลผลผลิตกล้วยไข่ จำนวนหวี น้ำหนักเฉลี่ยของหวีกล้วยไข่ อายุของการออกปลีและอัตราการหักล้มเสียหายจากการหักโค่นและจากพายุ และการวิเคราะห์, สังเคราะห์ผลการทดลองพร้อมทั้งประเมินผลกระทบด้านเศรษฐศาสตร์สังคม และสิ่งแวดล้อม
กิจกรรมที่ 2 การวิจัยการเพิ่มขนาดน้ำหนักและผลผลิตกล้วยไข่ด้วยสารควบคุมการเจริญเติบโตของพืชในกล้วยไข่ปลูกเดี่ยวปีแรก จัดทำแปลงทดลองสาธิตจำนวน 2 แปลงในอำเภอเมืองและอำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร โดยเริ่มจากการทดลองความเข้มข้นของสารจิบเบอเรลลินที่ระดับ 50 ppm, 100 ppm, 150 ppm และอัตราการฉีดซ้ำจำนวน 1 ครั้ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง ในอายุกล้วยที่แตกต่างกัน ถัดมาคือการจัดเก็บข้อมูลขนาดของผลกล้วยไข่ น้ำหนักของผลกล้วยและน้ำหนักเฉลี่ยของหวีกล้วย ความหวานของผลสุก ความแน่นเนื้อของผลกล้วย และสุดท้ายคือการวิเคราะห์ สังเคราะห์ผลการทดลองพร้อมทั้งประเมินผลกระทบด้านเศรษฐศาสตร์สังคม และสิ่งแวดล้อม
ซึ่งผลที่ได้รับจากการทดลองทั้ง 2 กิจกรรม ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ทั้งในด้านการผลิตกล้วยไข่ต้นเตี้ยเพื่อลดความเสียหายจากการหักล้มจากลมพายุ สามารถลดความสูงของลำต้นกล้วยไข่ เพิ่มความแข็งแรง ลดการสูญเสียจากการหักล้มจากปัจจัยต่างๆ มากกว่า 80% ด้านคุณภาพ ได้ผลผลิตน้ำหนักดี และเกรดคุณภาพของกล้วยไข่เพิ่มขึ้น 50-70% ราคาต่อหน่วยของกล้วยไข่เพิ่มขึ้น 50-70% (ขนาดน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 1.5-1.8 กิโลกรัมต่อหวี, ราคาเพิ่มขึ้นเป็น 30-35 บาทต่อหวี) ด้านการลดต้นทุนและแรงงาน ในการผลิตกล้วยไข่ของเกษตรกรทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น 40,000-60,000 บาทต่อไร่ และการพัฒนาเกษตรกรในพื้นที่เป้าหมายได้รับการถ่ายทอดความรู้การผลิตกล้วยไข่ต้นเตี้ยเพื่อลดความเสียหายจากการหักล้มจากลมพายุและการเพิ่มขนาดน้ำหนักและผลผลิตกล้วยไข่จำนวน 125 ครัวเรือน เกษตรกรมีเสถียรภาพด้านรายได้เพิ่มขึ้นภายในปี 2565 โดยที่รายได้เฉลี่ย 240,000 บาทต่อครัวเรือนต่อปี