สวนยางสุราษฎร์ฯ ชูธง2 หมื่นไร่ร่วมโปรเจ็ค กยท ผลักดัน คาร์บอนเครดิต

จากสถานการณ์โลกที่กำลังเผชิญสภาวะสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ทำให้นานาประเทศเข้ามาร่วมมือกันดำเนินนโยบายลดการปล่อย “ก๊าซเรือนกระจก”  ตัวการหลักที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน มีเป้าหมายในการควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลก โดยประเทศไทยได้ร่วมแสดงเจตจำนงในการมีส่วนร่วมดำเนินการตาม “ความตกลงปารีส” ต่อการจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  และกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่ร้อยละ 20–25 ภายในปี 2573 ซึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20ปี (พ.ศ.2561-2580) ที่มีเป้าหมายให้  ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามแนวคิดการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม Bio-Circular-Green Economy (BCG Model) ที่จะพัฒนาเศรษฐกิจ 3 มิติไปพร้อมกัน 

ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยมีรายได้จากการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางธรรมชาติปีละประมาณ 3 แสนล้านบาท ทำให้ไทยก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตยางธรรมชาติอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งต้นยางพารามีศักยภาพในการดูดก๊าซเรือนกระจกได้  และถือเป็นผลพลอยได้ที่สามารถสร้างรายได้และสร้างความยั่งยืนแก่เกษตรกรผู้ปลูกยางพาราด้วย

ด้วยเหตุนี้ การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) จึงมองเห็นโอกาสการสร้างแหล่งรายได้ให้เกษตรกรผู้ปลูกยางพารานอกเหนือจากการผลิตยางธรรมชาติและผลิตภัณฑ์ไม้ยางพารา เพื่อยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของเกษตรให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ขณะเดียวกันก็รับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม  กยท. จึงมีแผนการบริหารจัดการคาร์บอนในสวนยางอย่างยั่งยืน โดยสอดคล้องกับความต้องการของตลาดคาร์บอนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผ่านกระบวนการซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตจากโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand VoluntaryEmission Reduction Program) หรือ  T-VER  

ล่าสุด เมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา กยท. เดินสายจัดประชุมสัมมนาสร้างการรับรู้การดำเนินงานด้านคาร์บอนเครดิตของการยางแห่งประเทศไทย ที่ กยท.จ.สุราษฎร์ธานี โดยนายสุขทัศน์ ต่างวิริยกุล รักษาการแทนผู้ว่าการ กยท. มอบหมาย นายจิรวิทย์ มีชูภัณฑ์ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมและพัฒนาการผลิต ลงพื้นที่เป็นประธานในพิธีเปิด โครงการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตของ กยท. ปีงบประมาณ 2566 เพื่อการันตีว่าพื้นที่สวนยางที่ร่วมโครงการสามารถสะสมปริมาณคาร์บอนเครเครดิตและซื้อขายได้จริง มุ่งยกระดับการทำอาชีพสวนยางอย่างยั่งยืน พร้อมพัฒนาพื้นที่สวนยางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยตั้งเป้าหมายพื้นที่สวนยาง 20 ล้านไร่ทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการฯ ภายในปี 2593 

Advertisement

สำหรับการประชุมสัมมนาในครั้งนี้ นับเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนโครงการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตของ กยท. เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกรชาวสวนยางเกี่ยวกับนโยบายด้านคาร์บอนเครดิตของ กยท. ทั้งหลักปฏิบัติในการเข้าร่วมโครงการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิต, ขั้นตอนและวิธีการในการดำเนินงานด้านคาร์บอนเครดิตของ กยท. ซึ่งสามารถนำไปพัฒนาอาชีพการทำสวนยางพาราและบริหารจัดการพื้นที่สวนยางอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล เกิดความมั่นคงและยั่งยืน 

Advertisement

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมการมอบใบประกาศเกียรติคุณแก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ  1,609 ราย เพื่อเป็นหลักฐานแสดงว่าเกษตรกรชาวสวนยางได้รับการขึ้นทะเบียนในโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Standard T-VER) และเกษตรกรที่ผ่านเกณฑ์ตามโครงการฯ สามารถสร้างรายได้จากการสะสมปริมาณคาร์บอนเครดิตในสวนยางได้ตั้งแต่ปี 2566 จนถึงปี 2573 ตามระยะเวลาโครงการ 7 ปี เพื่อนำสวนยางเข้าสู่กระบวนการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ซึ่ง กยท. คาดว่าจะสามารถประเมินคาร์บอนเครดิตครั้งแรกเพื่อเริ่มดำเนินการขายในปี 2569 ต่อไป

นายจิรวิทย์ มีชูภัณฑ์ กล่าวว่า ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ให้ความสำคัญเรื่องการขับเคลื่อนภารกิจเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกรองรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ กยท. จึงมุ่งมั่นส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจตามแบบฉบับ BCG Model  หรือ Bio-Circular-Green Economy ที่คำนึงถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยดำเนินโครงการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตของ กยท. เนื่องจาก ต้นยางพาราเป็นพืชเกษตรที่มีศักยภาพสูงในการกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สามารถนำไปใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมของหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ ได้ ทั้งนี้ กยท. ได้ดำเนินการโครงการฯ เพื่อให้เกิดเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยที่ผ่านมา กยท. ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “การพัฒนาโครงการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิต” กับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. เป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินโครงการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิต เปิดโอกาสในการสร้างรายได้เพิ่มให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกยางพารา ให้สามารถนำต้นยางพาราที่อยู่ในพื้นที่สวนยางเข้าสู่กระบวนการซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตได้ ควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

  นายวีระพัฒน์ เดชารัตน์ หัวหน้ากองพัฒนาผลผลิต กล่าวว่า ที่ผ่านมา กยท. ดำเนินโครงการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตและยื่นขึ้นทะเบียนโครงการนำร่องกับ อบก. ในปี 2566 มีชาวสวนยางในพื้นที่ จ.จันทบุรี จ.เลย และ จ.สุราษฎร์ธานี ร่วมโครงการ โดยเฉพาะในภาคใต้เป็นพื้นที่ที่ปลูกยางพาราหนาแน่นจึงเลือกจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยจัดสรรพื้นที่นำร่อง 20,000 ไร่ และเกษตรกรนำร่องของ จ.สุราษฎร์ธานีร่วมโครงการ 1609 ราย ขณะที่ทั่วประเทศมีพื้นที่สวนยางที่เข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 43,481 ไร่ มีเกษตรกรเข้าร่วม 2,299 ราย 

  “คาดว่าการดำเนินโครงการนำร่องในช่วง 7 ปี จะสามารถสะสมปริมาณคาร์บอนเครดิตได้มากกว่า 1.3 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่า (tCO2eq) คิดเป็นมูลค่ากว่า 390 ล้านบาท และในอนาคต กยท. ตั้งเป้าหมายในการดำเนินโครงการคาร์บอนเครดิตให้ครอบคลุมพื้นที่สวนยาง ทั้ง 20 ล้านไร่ทั่วประเทศภายในปี พ.ศ.2593″ นายวีระพัฒน์  กล่าว