เผยแพร่ |
---|
“ปุ๋ย” เป็นปัจจัยการผลิตทางการเกษตรที่สำคัญอย่างหนึ่ง แล้ว “ปุ๋ย” คืออะไร ปุ๋ยเป็นธาตุอาหารของพืชซึ่งเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญทางการเกษตร พืชต้องการธาตุอาหาร 16 ชนิด ได้แก่ ออกซิเจน ไฮโดรเจน คาร์บอน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม กำมะถัน แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี แมงกานีส ทองแดง โบรอน โมลิบดินัม และคลอรีน ในจำนวนนี้ ออกซิเจน ไฮโดรเจน และคาร์บอนพืชได้รับจากน้ำและอากาศ ส่วนไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม พืชต้องการในปริมาณมากเมื่อเทียบกับธาตุอื่นๆ และในดินมักมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของพืชจึงมีความจำเป็นต้องเพิ่มเติมธาตุอาหารเหล่านี้โดยการให้ในรูปของปุ๋ย
ปุ๋ยจำแนกออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่
1. ปุ๋ยเคมี
2. ปุ๋ยอินทรีย์
3. ปุ๋ยชีวภาพ
และเมื่อ “ปุ๋ย” เป็นสิ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช เกษตรกรจึงควรคำนึงถึงคุณภาพ ราคา และความต้องการของพืช เพื่อตอบโจทย์ทั้งด้านคุณภาพ ความต้องการของพืชที่เหมาะสม และด้านราคาที่ไม่สูงจนเกินไปเพื่อเป็นการลดต้นทุนของเกษตรกร
กรมส่งเสริมการเกษตรเล็งเห็นความสำคัญและความจำเป็นในการใช้ปุ๋ยของเกษตรกร จึงได้มีแนวทางส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยตามหลัก 4R เพื่อเป็นการใช้ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยหลักการใช้ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ หรือ 4R เป็นหลักการปฏิบัติสำหรับเกษตรกรที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้ธาตุอาหารแก่พืช และลดต้นทุนการใช้ปุ๋ยได้เป็นอย่างดี ซึ่งอาจมีรายละเอียดแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เช่น พืชที่ปลูก ลักษณะเฉพาะของพื้นที่ ความอุดมสมบูรณ์ของดิน ระบบการปลูกพืช เทคนิคการจัดการ และสภาพภูมิอากาศ หลักการ 4R ประกอบด้วย
หลักการที่หนึ่ง การใช้ปุ๋ย “ถูกชนิดหรือถูกสูตร (Right source)” คือการใส่ปุ๋ยตามชนิดและตามสูตรให้เหมาะสมกับความต้องการของพืช เกษตรกรควรคำนึงถึงชนิดของพืชที่ปลูก ระดับความอุดมสมบูรณ์ของดิน การเพิ่มธาตุอาหารที่พืชต้องการในดิน สามารถประเมินได้จากการตรวจวิเคราะห์ดิน และเป้าหมายการใช้ปุ๋ยของเกษตรกร
หลักการที่สอง การใช้ปุ๋ย “ถูกอัตรา (Right rate)” คือ การใส่ปุ๋ยเพื่อเพิ่มเติมธาตุอาหารในดินให้เพียงพอต่อความต้องการของพืช หรือใส่ปริมาณที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความอุดมสมบูรณ์ของดิน หากใส่ปริมาณน้อยเกินไป อาจไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโต และถ้าใส่มากเกินไปแทนที่จะเป็นประโยชน์กลับอาจเป็นพิษต่อพืช ทำให้ดินเสื่อมโทรม ส่งผลต่อการเจริญเติบโต ปริมาณและคุณภาพของผลผลิต รวมทั้งยังทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นด้วย
หลักการที่สาม การใช้ปุ๋ย “ถูกเวลา (Right time)” คือให้ใส่ปุ๋ยในช่วงเวลาที่เหมาะสม ตามระยะการเจริญเติบโตของพืช ซึ่งจะมีความต้องการธาตุอาหารในแต่ละระยะ ในปริมาณที่แตกต่างกัน รวมถึงช่วงเวลาที่ใส่ปุ๋ยควรเป็นช่วงที่ดินมีความชื้น เช่น ตอนเช้าหรือหลังฝนตก จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ย
หลักการที่สี่ การใช้ปุ๋ย “ถูกตำแหน่งหรือถูกวิธี (Right place)” เกษตรกรควรใส่ปุ๋ยบริเวณใกล้ราก ซึ่งเป็นบริเวณที่พืชสามารถดูดธาตุอาหารนำไปใช้ได้ดีที่สุด โดยการแบ่งใส่ปุ๋ยครั้งละน้อยแต่บ่อยครั้ง และการฝังกลบปุ๋ย ช่วยลดการสูญเสียธาตุอาหารจากปุ๋ยได้
สำหรับ ข้อดีของการใช้ปุ๋ยตามหลัก 4R จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ย ช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชในแต่ละช่วงเวลา ทำให้พืชเจริญเติบโตสมบูรณ์แข็งแรง ได้ผลผลิตดีและมีคุณภาพ ลดการใส่ปุ๋ยเกินความจำเป็น ช่วยลดต้นทุนการผลิต และเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นในที่สุด