เผยแพร่ |
---|
ข้าวเม่าเป็นอาหารพื้นบ้านที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนไทยที่มีมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น หนึ่งในแหล่งผลิตข้าวเม่าที่มีชื่อเสียงในประเทศไทยคือจังหวัดนครพนม ซึ่งข้าวเม่าของที่นี่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งในด้านรสชาติ ความหอม และกระบวนการผลิตที่ยังคงรักษาความเป็นต้นตำรับและภูมิปัญญาท้องถิ่น
ก่อนหน้านี้ ชาวบ้านในชุมชนหลายคนมีความคิดที่จะยุติการผลิตข้าวเม่า เนื่องจากกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนและมีหลายขั้นตอน อีกทั้งยังขาดเครื่องจักรในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ส่งผลให้การทำข้าวเม่ามีความเหน็ดเหนื่อยและใช้เวลานาน อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้พัฒนาและนำเครื่องจักร เช่น เครื่องตำข้าวและเครื่องเป่าแกลบ เข้ามาช่วยในการผลิต ก็ทำให้กระบวนการผลิตข้าวเม่าง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นางสาวเจตสุดา ชินบูรณ์ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนข้าวเม่าหวานบ้านนาล้อม กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของวิสาหกิจชุมชนข้าวเม่าหวานบ้านนาล้อมเกิดขึ้นจากการจัดตั้งกลุ่มในปี 2561 โดยในอดีต ชุมชนมีการผลิตข้าวเม่ากันเองเป็นรายบุคคล แต่การดำเนินการในลักษณะนี้ทำให้การขอรับความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ เป็นไปได้ยาก จึงมีความเห็นร่วมกันที่จะจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนขึ้น เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ และส่งเสริมให้สมาชิกในกลุ่มมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมทั้งสร้างรายได้ที่มั่นคง
ข้าวที่เหมาะสมสำหรับการนำมาผลิตข้าวเม่านั้น ควรเป็นข้าวที่อยู่ในระยะเริ่มแป้งอ่อน คือผ่านช่วงระยะนมข้าวไปแล้ว โดยภายในเปลือกข้าวเริ่มมีการแข็งตัวของเมล็ดและมีสีขาว ห่อหุ้มด้วยเยื่อบางๆ สีเขียว ซึ่งเป็นแหล่งรวมของวิตามินหลายชนิด นอกจากนี้ ข้าวเม่าที่ผลิตจากข้าวเหนียวจะมีความหวานมากกว่าข้าวเจ้าทั่วไป โดยสามารถการันตีได้ถึงความหอม นุ่ม และรสชาติที่อร่อย
เคล็ดลับความอร่อยในการทำข้าวเม่าคือการเริ่มเก็บเกี่ยวข้าวตั้งแต่เช้ามืด เนื่องจากหากเก็บข้าวทิ้งค้างคืนจะทำให้ข้าวเม่าขาดความหอม หลังจากการเก็บเกี่ยวแล้ว จำเป็นต้องคัดเลือกเมล็ดข้าวลีบออก เพื่อให้ได้ข้าวที่มีคุณภาพ จากนั้นใช้ฟืนไม้จิกในการคั่วข้าวเม่าในกระทะขนาดใหญ่ เพื่อให้ข้าวสุกและมีกลิ่นหอม ตามด้วยการนำข้าวมาสีด้วยเครื่องสีข้าวขนาดเล็กจนได้ข้าวที่สะอาดและสวยงาม สุดท้าย กระบวนการตำข้าวเม่าต้องใช้ครกกระเดื่องเท่านั้น เพื่อให้ได้ความนุ่มที่เป็นเอกลักษณ์ของข้าวเม่า
หลังจากที่เริ่มหันมาผลิตข้าวเม่าอย่างจริงจังพบว่า การผลิตข้าวเม่าสามารถเพิ่มมูลค่าของข้าวได้อย่างมาก จากเดิมที่นำข้าวเปลือกไปขายได้เพียงกิโลกรัมละ 10 บาท แต่เมื่อได้นำมาผ่านกระบวนการแปรรูปและบรรจุภัณฑ์อย่างดี ทำให้สามารถขายได้ในราคาเกือบ 200 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งถือเป็นราคาที่สูงและสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีนัยสำคัญ
คุณวุฒิชัย ชินบูรณ์ สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนข้าวเม่าหวานบ้านนาล้อม กล่าวว่า ข้าวเม่าของกลุ่มถือเป็นมรดกที่ถ่ายทอดให้กับรุ่นลูกรุ่นหลานได้ เนื่องจากการทำนาขายในอดีตนั้นมักขาดทุนทุกปี แต่เมื่อหันมาทำข้าวเม่า กลับพบว่าได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่า มีรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิม การทำข้าวเม่าจึงถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
โดยจุดเด่นของข้าวเม่าหวานบ้านนาล้อม จะผลิตสดใหม่ทุกวัน เพื่อรักษาคุณภาพความใหม่ สด หอม น่ารับประทาน เริ่มผลิตข้าวเม่าปลายเดือนสิงหาคมถึงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ด้วยกระบวนการแปรรูปที่พิถีพิถันและใส่ใจในทุกรายละเอียดเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกรมการข้าว ซึ่งได้เข้ามาช่วยพัฒนาบรรจุภัณฑ์สำหรับข้าวเม่าและจัดหาเครื่องซีลสุญญากาศให้กับกลุ่ม โดยการสนับสนุนจากกรมการข้าวถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ช่วยพลิกชีวิตทั้งของตนเองและสมาชิกในชุมชน ทำให้มีแรงจูงใจในการผลิตข้าวเม่ากันมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการพัฒนาการตลาดโดยการบรรจุข้าวเม่าในในรูปแบบบรรจุภัณฑ์ซีลสุญญากาศ ซึ่งสามารถจำหน่ายออนไลน์ได้ทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังสามารถแช่แข็งและเก็บรักษาได้นานถึง 1 ปี ทั้งยังสามารถนำไปบริโภคสด หรือใช้ในการปรุงเป็นขนมหวานได้หลากหลายเมนู
ข้าวเม่าหวานบ้านนาล้อมถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงความงดงามของวิถีชีวิตชาวอีสาน การอนุรักษ์และพัฒนาข้าวเม่าหวานให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน หากไม่อยากพลาดโอกาสในการลิ้มรสข้าวเม่า สามารถทำการสั่งจองล่วงหน้าได้ เนื่องจากมีการผลิตเพียงปีละ 1 ครั้ง โดยข้าวเม่าจะถูกผลิตและจัดส่งในวันต่อวัน เพื่อรับประกันคุณภาพและความอร่อย สามารถสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ ได้แก่ เพจเฟซบุ๊ก : เจตสุดา ชินบูรณ์ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 087-034-6151 อีกทั้งยังทำให้ชาวบ้านในพื้นที่หันมาปลูกข้าวเม่าและแปรรูปขาย ซึ่งช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับราคาข้าวเปลือกที่ตกต่ำ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิต และสร้างงานสร้างรายได้อย่างครบวงจร