สพฐ. เดินหน้าเติมเต็มทักษะภาษาต่างประเทศ เทคโนโลยี กระตุ้นการเรียนรู้ได้ในทุกบริบท และรักษาความเป็นไทยในเด็กนักเรียน ยุค 4.0

ดร.อำนาจ วิชยานุวัติ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ เน้นย้ำความท้าทายที่มาพร้อมกับความก้าวหน้าทางสังคม โดยมีเทคโนโลยีการสื่อสารเป็นกลไกขับเคลื่อนประเทศไทยเข้าสู่ ยุค 4.0 จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้รับความร่วมมือกันในทุกภาคส่วน เพื่อแสวงหาแนวทางรับมือและวางแผนป้องกันผลกระทบอันเกิดการจากการเป็นยุคแห่ง Disruption

“สิ่งสำคัญที่สุด เราต้องจัดกระบวนการเรียนรู้ให้กับเด็กให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตัวเด็กเอง ภายใต้สิ่งแวดล้อมสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้น โดยครูต้องเป็นผู้นำในการจัดกระบวนการเรียนรู้ ในอดีตคุณครูเป็นผู้บ่มเพาะสั่งสอนบอกกล่าว แต่วันนี้เด็กต้องค้นหาองค์ความรู้เองโดยมีครูเป็นผู้จัดการหรือเป็นโค้ช หากเราจัดการกระบวนการเรียนรู้ได้อย่างครอบคลุม เด็กเรียนรู้ได้ตามศักยภาพและสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเขา เด็กสามารถเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกปัจจุบัน สังคมเชิงพื้นที่ ซึ่งก็คือ ภาพรวมของประเทศที่มีอยู่ การเรียนรู้วันนี้สิ่งสำคัญคือ การที่จะต้องจูงใจและเรียนรู้ร่วมกัน ต้องส่งเสริมให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ในทุกช่วงวัย ภาพการเรียนรู้วันนี้ คุณครูและโรงเรียนต้องปรับตัวเพื่อที่จะก้าวไปสู่กระบวนการเรียนรู้ที่มุ่งสู่การพัฒนาศักยภาพของบุคคลที่มีอยู่อย่างเต็มศักยภาพต่อไป”

เพื่อให้ไปถึงจุดหมายการพัฒนาผู้เรียนอย่างแท้จริง การเสริมสร้างทักษะด้านวิชาการ ส่งเสริมทักษะด้านวิชาชีพ สนับสนุนทักษะด้านการดำเนินชีวิต ในสามด้านนี้จะต้องมีการสร้างสมดุล

“สิ่งที่คาดหวังอันดับแรกคือ เรื่องของทักษะวิชาการ เราเข้าถึงผู้เรียนเพื่อประเมินว่าเขามีความพร้อมด้านไหน วิชาการของผมไม่ใช่วิชาการในเรื่องการเรียน ภาษาไทย สังคม วิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ แต่วิชาการของผมคือ การเรียนทุกศาสตร์สาขา แม้กระทั่งเรื่องของดนตรี กีฬา ศิลปะ หรือวิชาการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของทักษะอาชีพ วิชาการในเรื่องของทักษะชีวิต รวมไปถึงการเรียนรู้องค์ความรู้ใหม่ๆ ที่มากับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย เช่น คอมพิวเตอร์ Social Media นวัตกรรมต่างๆ ดังนั้นสร้างสมดุลด้านการเรียนรู้นั้น นักเรียนต้องเรียนรู้จากภายในห้องและนอกห้องเรียนนำมาประยุกต์ ผสมผสาน เชื่อมโยงสิ่งต่างๆ ในโลกใบนี้เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน ทักษะชีวิตบูรณาการเรียนรู้ได้ คนที่เรียนไม่เก่งด้านนี้ก็สามารถเอาดีโดยใช้ทักษะหรือศักยภาพด้านอื่นของเขาได้ ต้องมอบโอกาสให้กับทุกคน ยอมรับในศักยภาพความแตกต่างของแต่ละบุคคลแล้วชี้แนะให้เขาสามารถไปต่อได้ ต้องเติมเต็มซึ่งกันและกัน คำว่าวิชาการ ทักษะชีวิต ต้องอยู่ด้วยกัน ไม่สามารถจะแยกจากกันได้ สองสิ่งนี้หากเกิดขึ้นแล้วจะส่งผลถึงการมีทักษะอาชีพที่ดีต่อไปในอนาคต” ดร.อำนาจ วิชยานุวัติกล่าว

นอกจากนั้น เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานยอมรับว่าโลกทุกวันนี้เป็นโลกของการเปลี่ยนแปลง Disruption ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงและผลกระทบตามมามากมาย จำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนต้องเร่งปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องและพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในมิติด้านต่างๆ แต่เหนือสิ่งอื่นใด “ความเป็นไทย” คือสิ่งที่ต้องเน้นย้ำและสร้างความตระหนักรู้ในหมู่เด็กเยาวชนไทย

“พลวัตของโลกสมัยใหม่ ทำให้ทุกอย่างรวดเร็ว สะดวก สบายขึ้นก็จริง แต่เราต้องไม่ลืมรากเหง้า ตัวตนของเรา ประเทศไทยมีมรดกทางศิลปวัฒนธรรมที่ดีงาม ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น เช่น การไหว้ ความโอบอ้อมอารี เรามีวัฒนธรรมอันดีงาม มีภาษาเป็นของเราเอง ซึ่งเหล่านี้จะต้องคงอยู่กับคนไทยตลอดไป แต่คงไม่ปฏิเสธการไหลบ่าเข้ามาของวัฒนธรรมต่างชาติ อันเกิดจากเทคโนโลยี การสื่อสารต่างๆ สิ่งที่เราต้องชี้ให้เด็กของเราเห็นคือ ความรู้ความเข้าใจที่เกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันจากทั่วทุกมุมโลกผ่านช่องทางการสื่อสารต่างๆ และเราต้องรักษาอัตลักษณ์ของเราเอาไว้ให้ได้ เรียนรู้ที่จะยอมรับและอยู่ร่วมกันท่ามกลางความแตกต่าง หลากหลายอย่างเข้าใจ ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราต้องพัฒนาด้านทักษะภาษาของเราให้ดียิ่งขึ้น การเกิดขึ้นของภาษาดิจิทัล ภาษาคอมพิวเตอร์ ที่มาเร็วและแรง เราต้องใช้ทักษะทุกด้านเพื่อหลอมรวมองค์ความรู้ที่มี สร้างจุดยืนที่เด่นชัดของเรา ความเป็นไทยของเรา ทักษะด้านเทคโนโลยี ทักษะด้านการสื่อสารสากลต้องเท่าทันยุค Globalization บทบาทของชาติผู้นำโลกเราต้องรู้เท่าทัน และเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึง แต่ในขณะเดียวกันค่านิยมความเป็นไทยเราก็ต้องไม่ทิ้ง”

สอดคล้องกับความเห็นของ ว่าที่ร้อยตรี ดร. ทวีศักดิ์ นามศรี ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต ๑ ประธานคณะกรรมการจัดงาน การแข่งขันงานศิลปหัตถกรรมนักเรียนระดับชาติ ครั้งที่ 69 ปีการศึกษา 2562 จังหวัดศรีสะเกษ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่เห็นพ้องว่า เทคโนโลยียุค 4.0 ช่วยลดความเหลื่อมล้ำปูทางสร้างความเท่าเทียมทางการศึกษา

“นโยบายรัฐบาล คือมุ่งมั่นนำพาประเทศไทยไปสู่ ยุค 4.0 ให้ได้ภายใน 20 ปี เพื่อให้ประเทศไทยมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน รัฐบาลได้ส่งเสริมให้ลูกหลานของเรามีอาชีพสุจริต ส่งเสริมการศึกษาเพื่อการมีงานทำ จัดการศึกษาเพื่อให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ พร้อมกับสร้างความภาคภูมิใจในภูมิปัญญา มรดกทางศิลปวัฒนธรรมประเพณีของแผ่นดินเกิดเพื่อร่วมอนุรักษ์สืบสานไปยังอนุชนรุ่นหลัง จากที่ได้เรียนรู้จากงานศิลปหัตถกรรมนักเรียนระดับชาติในหลายครั้ง บางรายการที่เด็กจากพื้นที่รอบนอกสามารถชนะเด็กในเมืองได้ ก็สะท้อนว่าความเหลื่อมล้ำนั้นค่อยๆ ลดลงไป ไม่ว่าจะอยู่ในชนบทเราก็มีครูดี มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ดี มีอุปกรณ์ที่ดีมีผู้สนับสนุนที่ดี เทียบเคียงกับในเมือง การเข้าถึงเทคโนโลยีเช่นอินเตอร์เน็ต ก็ทำได้ไม่ต่างกัน เห็นได้จากการได้พูดคุยกับเด็กนักเรียนที่เข้าแข่งขันที่ต่างสืบค้นข้อมูลผ่านช่องทางนี้มากขึ้น ได้เห็นตัวอย่างผลงาน เห็นนวัตกรรมใหม่ๆ แล้วนำมาถามครูในห้องเรียน ครูก็ต้องเร่งปรับตัวเพิ่มพูนความรู้ไปพร้อมๆ กัน เห็นได้ว่าเทคโนโลยีเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ดังนั้นผู้บริหารการศึกษาก็ต้องรู้ให้เท่าทัน ส่งเสริมสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ รู้เท่าทันคุณและโทษของเทคโนโลยีในแง่มุมต่างๆ รวมทั้งการนำเทคโนโลยีมาผนวกกับขนบธรรมเนียมประเพณีเพื่อการสื่อสะท้อนอย่างสร้างสรรค์ จุดนี้จะเป็นหนึ่งกิจกรรม หนึ่งช่องทางที่ลดความเหลื่อมล้ำเกิดความเท่าเทียมได้”