วช. หนุนประเทศไทยไร้ขยะ ให้ทุนวิจัยทีมจุฬาฯ สร้างฐานข้อมูลจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ฯ

วช.หนุนประเทศไทยไร้ขยะ มอบทุนทีมจุฬาฯ สร้างฐานข้อมูลการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ฯ นำไปสู่การกำหนดนโยบายการจัดการซากผลิตภัณฑ์ที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพอย่างเป็นรูปธรรม

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า ประเทศไทยประสบปัญหาขยะจากซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ที่เพิ่มขึ้นตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งขยะเหล่านี้ยังขาดการจัดการที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ส่งผล กระทบต่อสิ่งแวดล้อม ปัญหาดังกล่าว กรมควบคุมมลพิษและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องพยายามผลักดันกฎหมายที่ใช้กำกับและดูแลการจัดการซากผลิตภัณฑ์ทั้งระบบ

สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จึงได้สนับสนุนทุนวิจัยให้กับโครงการ “แผนงานวิจัยท้าทายไทย : การจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์และของเสียอันตรายชุมชน ระยะที่ 2” ภายใต้แผนงาน Zero Waste Thailand (ประเทศไทยไร้ขยะ) ซึ่งมี รศ.ดร. สุธา ขาวเธียร จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นหัวหน้าโครงการ เพื่อสร้างฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และของเสียอันตรายชุมชน รวมทั้งการจัดการซากผลิตภัณฑ์ของรัฐและชุมชนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การกำหนดนโยบายการจัดการซากผลิตภัณฑ์ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น

รศ.ดร. สุธา ขาวเธียร จากศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการสารและของเสียอันตราย (ศสอ.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จากการคาดการณ์ปริมาณซากผลิตภัณฑ์ฯ จากชุมชนในปี 2563 พบว่ามีปริมาณ 428,000 ตัน/ปี กว่า 70% เป็นซากผลิตภัณฑ์ 5 ชนิด คือ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ โทรทัศน์ โทรศัพท์ และคอมพิวเตอร์

ซึ่งซากผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ยังถูกเก็บไว้ในครัวเรือน ยังไม่ได้รับการจัดการ และอีกส่วนหนึ่งถูกจัดการด้วยกลุ่มรับซื้อของเก่าและผู้ประกอบการรายย่อยที่ไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมาย จากปัญหาดังกล่าวจะเห็นได้ว่าประเทศไทยยังขาดการจัดการซากผลิตภัณฑ์ ที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ

แผนงานวิจัยฯ จึงได้ศึกษาและรวบรวมข้อมูลการจัดการซากผลิตภัณฑ์ อย่างต่อเนื่องจากแผนงาน การจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์และของเสียอันตรายชุมชน ระยะที่ 1 ซึ่งศึกษาและรวบรวมฐานข้อมูลการจัดการซากผลิตภัณฑ์ ทั้งระบบ ครอบคลุมตั้งแต่ผู้บริโภคจนถึงปลายทางการกำจัด และได้นำมาต่อยอด บูรณาการสร้างเป็นฐานข้อมูลที่สามารถนำไปสู่การวางแผนและกำหนดนโยบายการจัดการซากผลิตภัณฑ์อย่างเหมาะสม รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนข้อมูลในการออกกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ จากผลการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคในการจัดการซากผลิตภัณฑ์ พบว่า ผู้บริโภคมีการยืดอายุผลิตภัณฑ์ขนาดใหญ่ จึงมีผลต่อปริมาณซากผลิตภัณฑ์ ที่เข้าสู่ระบบ เช่น เครื่องปรับอากาศ โทรทัศน์    ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ซึ่งมีอายุการใช้งานมากกว่า 10 ปี ถึงเข้าสู่กระบวนการซ่อมแซม และเรียกคนมารับซื้อซากผลิตภัณฑ์ที่บ้าน ส่วนซากผลิตภัณฑ์ขนาดเล็ก เช่น คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก โทรศัพท์มือถือ และแท็บเล็ต จะมีอายุการใช้งาน 4-5 ปี

ส่วนใหญ่ซากผลิตภัณฑ์จะยังถูกเก็บไว้ในบ้าน ดังนั้นเพื่อให้เกิดระบบการจัดการ จำเป็นต้องมีมาตรการจูงใจให้เกิดการยอมรับ หรือ Willingness To Accept เพื่อดึงซากผลิตภัณฑ์เข้าสู่ระบบ จากนั้นซากผลิตภัณฑ์ ที่ถูกรวบรวมจากบ้านเรือนจะถูกส่งต่อเข้าสู่กระบวนการรื้อแยกและรีไซเคิล

สำหรับกระบวนการรื้อแยก สามารถแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบ คือ การรื้อแยกโดยกลุ่มรับซื้อของเก่าและผู้ประกอบการรายย่อยที่ไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมายหรือ Informal Sector และการรื้อแยกโดยโรงงานที่ได้รับใบอนุญาตถูกต้อง หรือ Formal sector

ซึ่งจากผลการศึกษาพบว่า การรื้อแยกทางกายภาพของทั้ง 2 รูปแบบไม่แตกต่างกัน เช่น ผลของการรื้อแยกโทรทัศน์ได้วัสดุมีค่าประมาณ 30-40% และมีเศษวัสดุเหลือทิ้งประมาณ 60-70% ทั้งนี้วัสดุที่ได้จากการรื้อแยกซากผลิตภัณฑ์ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีการรีไซเคิลในประเทศ ส่วนการรีไซเคิลแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ด้วยวิธีการทางเคมีอาจต้องดำเนินการในกลุ่มของโรงงานที่ได้รับใบอนุญาตถูกต้องเท่านั้น เนื่องจากเป็นกระบวนการที่ทำให้ได้โลหะที่มีค่า เช่น เงิน ทอง และพาลาเดียม แต่จะมีความเสี่ยงต่อสุขภาพเพราะจะได้โลหะที่เป็นพิษมาด้วย เช่น โครเมียม อาร์เซนิก ตะกั่ว และแคดเมียม

รศ.ดร. สุธา กล่าวว่า จากผลการศึกษาทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการจัดการซากผลิตภัณฑ์โดยในระยะแรกควรมีมาตรการในการดึงทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการซากผลิตภัณฑ์ ร่วมกับการผลักดันให้มีการออกกฎหมายการจัดการซากผลิตภัณฑ์ ทั้งระบบโดยเฉพาะ และส่งเสริมให้มีการนำซากผลิตภัณฑ์ เข้าสู่ระบบการจัดการอย่างถูกต้อง เพื่อลดการเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด รวมทั้งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดการซากผลิตภัณฑ์ ทั้งระบบ ควรตระหนักและมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการจัดการซากผลิตภัณฑ์ของตนเอง

การรับผิดชอบการจัดการซากผลิตภัณฑ์ระหว่างผู้ผลิต และผู้โภคควรใช้กลไกผสมผสานทั้งภาคบังคับและภาคสมัครใจ ในส่วนของกระบวนการรวบรวมซากผลิตภัณฑ์ ควรตั้งจุดรวบรวมซากผลิตภัณฑ์ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย ควรมีการสนับสนุนงบประมาณในการจัดตั้งศูนย์รวบรวมซากผลิตภัณฑ์  สู่ท้องถิ่นที่มีความพร้อมและศักยภาพ และควรพัฒนาระบบแพลตฟอร์มการติดตามซากผลิตภัณฑ์ ตลอดกระบวนการขนส่ง อีกทั้งควรมีการยกระดับผู้รวบรวมและผู้รื้อแยกที่เป็นกลุ่มรับซื้อของเก่าและผู้ประกอบการรายย่อยที่ไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมายให้ปฏิบัติให้ถูกต้อง โดยอาจต้องมีการนำกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยตรงมาบังคับใช้ร่วมด้วย เช่น ประกาศกระทรวงเรื่องกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เป็นต้น


สำหรับแฟนๆ นิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน หากต้องการนิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้านรายปักษ์ ส่งตรงถึงบ้าน รวดเร็วทันใจอ่านได้ในทุกๆ 15 วัน สามารถสมัครสมาชิกได้ที่ คลิกลิ้ง https://shorturl.asia/0zJwQ 📲- Line: @matichonbook หรือ สำนักพิมพ์มติชน เลขที่ 12 ถนนเทศบาลนฤมาล หมู่บ้านประชานิเวศน์ 1 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900 ติดต่อฝ่ายขาย 02-589-0020 ต่อ 3354