ที่มา | เก็บมาเล่า |
---|---|
ผู้เขียน | อัญชิษฐา แสงบัว |
เผยแพร่ |
การพัฒนาของโลกในมิติต่างๆ บางครั้งทำให้สิ่งแวดล้อมถูกทำลาย เกิดการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ดิน ฟ้า อากาศ เสื่อมโทรม เกิดมหาอุทกภัย ภาวะโลกร้อนและการปล่อยก๊าชเรือนกระจก การผลิตข้าว ในบางกรณี ก็ทำให้เกิดสิ่งที่แนะนำมา
เมื่อเร็วๆ นี้ คุณฤทธิสรรค์ เทพพิทักษ์ นายอำเภอเมืองอุบลราชธานี ได้เป็นประธานเปิดงานโครงการ “ข้าวยั่งยืน” ตามโครงการตลาดนำการผลิต เพื่อเกษตรกรรายย่อย (Market Oriented Small holder Value Chain : MSVC) และมีการลงนามความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกลุ่มเกษตรกรข้าวยั่งยืน กับบริษัท โอแลม (ประเทศไทย) จำกัด มีองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศเยอรมัน (GIZ) เป็นสักขีพยาน ณ ตำบลแจระแม อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
โครงการตลาดนำการผลิต เพื่อเกษตรกรรายย่อย เป็นโครงการความร่วมมือขององค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศเยอรมัน (GIZ) ร่วมกับกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ บริษัท โอแลม (ประเทศไทย) จำกัด สาเหตุที่มีโครงการนี้ขึ้นมานั้น…เพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิตข้าวของจังหวัดอุบลราชธานี โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือ เกษตรกรหรือชาวนามีรายได้เพิ่มมากขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดี ผู้บริโภคปลอดภัย สิ่งแวดล้อมไม่เสื่อมโทรม เป็นความยั่งยืนของทุกภาคส่วน ให้ข้าวของจังหวัดอุบลราชธานีเป็นข้าวหอมมะลิ ข้าวรักษ์โลก ข้าวยั่งยืนต่อไป…รวมทั้งเป็นการสนองนโยบายของรัฐอีกด้วย
ผู้เข้าร่วมงานภายในงานมีการจัดอบรมให้เกษตรกรที่เข้ามาร่วมงาน…แบ่งออกเป็น 5 ฐานการเรียนรู้
ฐานที่ 1 การปรับระดับพื้นที่แปลงนาด้วยเครื่องเลเซอร์
เป็นการปรับระดับพื้นที่นาข้าว โดยการใช้เครื่องเลเซอร์แทนการปรับระดับนาข้าวแบบเดิม ทำให้ช่วยลดต้นทุนการปรับพื้นที่นาให้ต่ำกว่าการปรับพื้นที่แบบปกติของเกษตรกร ยังสามารถควบคุมการให้น้ำได้อย่างสม่ำเสมอ ลดการใช้สารเคมีในการควบคุมปริมาณของวัชพืชและลดระยะเวลาในการสูบน้ำได้ ร้อยละ 58 ของเวลาทั้งหมดได้อีกด้วย
ฐานที่ 2 การทำนาหยอดข้าวแห้งเพื่อลดต้นทุน-เพิ่มผลผลิต
เป็นการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวไว้ใช้เอง เพื่อลดต้นทุนการผลิต โดยนำเอากระดาษทิชชูมาทำให้เปียก จากนั้นก็นำเมล็ดข้าวใส่ลงไปในกระดาษทิชชู ม้วนให้ยาวแล้วนำไปใส่กล่องรวมกัน จึงเอาไปใส่ตู้เก็บ ฐานที่ 3 การใช้ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดิน “ปุ๋ยสั่งตัด” เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว
เป็นการวิเคราะห์ดินให้ทราบถึงความอุดมสมบูรณ์ของดินและปัญหาในแปลงปลูกข้าว ว่าควรใช้ปุ๋ยในปริมาณเท่าใด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการปลูกข้าวครั้งต่อไป ผลของการวิเคราะห์ดินก็จะดูจากทั้ง 4 ข้อดังนี้ คือระดับอินทรียวัตถุในดิน, ปริมาณฟอสฟอรัส, ปริมาณโพแทสเซียม, ระดับความเค็มของดิน
ขั้นตอนการใช้ “ปุ๋ยสั่งตัด”
1. ตรวจสอบข้อมูลชุดดิน เกษตรกรต้องตรวจสอบชุดดินในแปลงของตนเองก่อน โดยสามารถนำมาสอบถามข้อมูลดินได้ทางสถานีพัฒนาที่ดินทุกจังหวัด หรือสอบถามตามได้ที่เว็บไซต์ www.soil.doae.go.th
2. ปริมาณ N P K ในดินแบบรวดเร็ว จะมีการตรวจสอบปริมาณ N P K ในดินให้เกษตรกร
3. ใช้ปุ๋ยตามคำแนะนำ โดยศึกษาจากคู่มือคำแนะนำ “การใช้ปุ๋ยสั่งตัด” หรือโปรแกรม SimRice, SimCorn และ SimCare สำหรับข้าว ข้าวโพด และอ้อย ซึ่งสามารถดาวน์โหลดฟรี
ฐานที่ 4 การควบคุมวัชพืชในนาข้าว
เป็นการลดผลเสียหายของวัชพืชที่เกิดแก่พืชปลูกให้น้อยที่สุด ปริมาณการควบคุมจะต้องพิจารณาถึงราคาต้นทุนและปริมาณความเสียหายที่เกิดขึ้นซึ่งในบางกรณีอาจไม่จำเป็นต้องควบคุมให้สมบูรณ์ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ทำเพียงระดับที่เหมาะสมที่สุดเท่านั้น
ฐานที่ 5 การป้องกันและควบคุมโรคไหม้ในนาข้าว
สอนวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดเชื้อราในข้าวที่ปลูก โดยมีการช่วยบอกวิธี เช่น ต้องมีการระบายถ่ายเทอากาศที่ดี และไม่ควรใส่ปุ๋ยไนโตรเจนมากเกินไป หากใส่มากเกินไปโรคไหม้ระบาดได้รวดเร็วมาก
ประโยชน์ของการผลิตข้าวยั่งยืนต่อเกษตรกร
1. มีรายได้เพิ่มมากขึ้นจากต้นทุนที่ต่ำลง และผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น
2. มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีความรู้ ความเข้าใจ ในการใช้วัตถุอันตราย
3. ผลผลิตคุณภาพที่ดีขึ้นทั้งในด้านความปลอดภัยและคุณภาพผลผลิต เป็นโอกาสทางการตลาดไปสู่ผู้บริโภคที่ห่วงใยสุขภาพ
4. ชาวไทยมีการผลิตจากระบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นการเตรียมความพร้อมและสร้างโอกาสทางการตลาดสู่ผู้บริโภคของโลกยุคปัจจุบันที่ให้ความสำคัญต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
5. สภาพแวดล้อมมีความสมดุลและสามารถทำการปลูกข้าวได้อย่างยั่งยืนจนถึงรุ่นต่อไป