ผู้เขียน | พรพรรณ วิจิตรวิทยาพงศ์ |
---|---|
เผยแพร่ |
หนึ่งในพืชเศรษฐกิจที่กำลังเป็นที่สนใจของเกษตรกรในจังหวัดพิจิตรเป็นอย่างยิ่ง คือ “เมล่อน” ผลไม้รสชาติดี มีอนาคต ด้วยความนิยมจากท้องตลาด ทั้งยังใช้น้ำและพื้นที่น้อย ทว่าสร้างผลผลิตที่โกยรายได้มากกว่าการทำนาหลายเท่าตัว
สมพร เจียรประวัติ เกษตรจังหวัดพิจิตร อธิบายว่า สำนักงานเกษตรจังหวัดพิจิตร ได้สนับสนุนการขับเคลื่อนของกรมส่งเสริมการเกษตร ซึ่งในปีนี้เกษตรกรต้องยอมรับว่าผลผลิตราคาข้าวนั้นไม่ดีเท่าที่ควร ทางกรมส่งเสริมการเกษตรจึงมีนโยบายในเรื่องการลดพื้นที่การทำนา และลดรอบของการทำนาปรังลง ฉะนั้นเมื่อมีการขับเคลื่อนนโยบายในลักษณะนี้จึงต้องมีการทดแทนให้กับเกษตรกร โดยการหาพืชที่เหมาะสมที่จะทดแทนการปลูกข้าวเพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เท่ากับหรือมากกว่าการทำนา จึงได้เลือกการปลูกพืชประเภทแตง คือ เมล่อน ซึ่งเป็นพืชที่มีการใช้น้ำน้อยกว่าการปลูกข้าว ประมาณ 3-4 เท่าตัว โดยมีระบบการจัดการที่ละเอียดอ่อน ตัวอย่าง เช่น การปลูกโดยมีพลาสติกคลุมดิน มีระยะการปลูกที่ชัดเจน และปลูกในโรงเรือน
“ตอนนี้เกษตรกรในจังหวัดพิจิตร เริ่มหันมาปลูกเมล่อนกันมากขึ้น ราคาจากมือเกษตรกร กิโลกรัมละ 60-70 บาท เมล่อน 1 ผล หนักราว 1 กิโลครึ่ง ถึง 2 กิโลกรัม ดังนั้น เฉลี่ยอยู่ที่ผลละ 100-150 บาท ในระยะเวลา 4 เดือน เมื่อเทียบกับการปลูกข้าว สามารถใช้เป็นพืชทดแทนการปลูกข้าวในช่วงฤดูแล้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ” เกษตรจังหวัดกล่าว
มาฟังเสียงเกษตรกรตัวจริงกันบ้าง
สมศักดิ์ บางแดง หนึ่งในเกษตรกรนอกเขตชลประทานที่ปรับเปลี่ยนจากการปลูกข้าวนาปรังในช่วงฤดูแล้ง หันมาปลูกพืชอายุสั้น ใช้น้ำน้อยทดแทน โดยในพื้นที่เพียง 2 งาน สามารถสร้างรายได้สูงกว่าการปลูกข้าวถึง 20 ไร่ ตัวโรงเรือนกว้าง 6 เมตร ยาว 36 เมตร ปลูกได้ 600-800 ต้น จำนวน 2 โรงเรือน สร้างรายได้ประมาณ 55,000-65,000 บาท ต่อ 1 โรงเรือน
“ผมเลือกปลูกเมล่อนพันธุ์กาเลีย ให้น้ำด้วยระบบสายน้ำหยด เพียงวันละ 2 ครั้ง คือเช้าและบ่าย โดยใช้วิธีน้ำหยดและไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง เพราะปลูกในโรงเรือนซึ่งกันแมลงได้ พวกอาหารเสริมก็ให้ทางน้ำหยดเหมือนกัน วิธีการปลูกก็ไม่ยาก เริ่มจากการเพาะเมล็ด 8 วัน จากนั้นก็นำกล้ามาลงหลุม ใช้เวลาประมาณ 20 วัน เมล่อนก็จะผสมเกสร อีก 5 วันถัดมา ก็จะเริ่มเห็นผลเล็กๆ ของเมล่อน ว่าจะติดลูกหรือไม่ติดลูก พอลูกเริ่มมีขนาดเท่าไข่ไก่ ก็จึงนำเชือกปอมาแขวนไว้กันลูกจะดึกเถาลงมา รวมทั้งหมดจนถึงเวลาเก็บเกี่ยวจะใช้เวลาประมาณ 65 วัน”
ถามถึงข้อจำกัด คุณสมศักดิ์ บอกว่า เมล่อนชอบอากาศร้อนชื้น และไม่ชอบอากาศที่หนาวเย็น ถ้าเจอหนาวเมื่อไหร่จะไม่ค่อยโต ไม่ค่อยออกดอก และให้ผลเล็กกว่าที่ควรจะเป็น
อย่างไรก็ตาม ถือเป็นโชคดีที่ภูมิอากาศในจังหวัดพิจิตรมีความเหมาะสม ตรงตามรสนิยมของพืชชนิดนี้ จึงไม่ต้องกังวลในประเด็นสภาพอากาศมากนัก ส่วนความปลอดภัยต่อผู้บริโภคก็มีเต็มร้อย โดยมีใบรับรอง GAP การันตีว่าไร้สารเคมีและยาฆ่าแมลงปนเปื้อน
เกษตรกรท่านนี้ยังกระซิบบอกว่า เมล่อนที่ปลูกไว้ขายดีมากถึงขนาดมีลูกค้าโทร.มาจอง ไม่ต้องขนออกไปขายเลยด้วยซ้ำ
เน้นย้ำความสำเร็จของการตัดสินใจหันมาปลูกพืชชนิดนี้
นับว่าเป็นอีกทางเลือกที่สามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในช่วงที่ว่างเว้นจากการทำนาในช่วงฤดูแล้งนี้เป็นอย่างดี
สนใจข้อมูลปลูกเมล่อน สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สมศักดิ์ บางแดง หมู่ที่ 7 ตำบลเนินปอ อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร โทร. (061) 469-8262
ข้อมูลจากมติชนรายวัน