เกษตรกรบ้านแพ้ว ปลูกมัลเบอร์รี่ 3 ไร่ เก็บผลสด แปรรูปขาย รายได้เดือนละเกือบ 3 แสน

จัดอยู่ในลำดับต้นๆ ของผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเยอะมาก สำหรับ “มัลเบอร์รี” หรือ “ลูกหม่อน” ผลไม้ชนิดหนึ่งที่เมื่อสุกผลแล้วจะเป็นสีดำ รสชาติเปรี้ยวอมหวาน เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง ลักษณะลำต้นตั้งตรง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ลักษณะของใบปลายใบแหลมยาว

ซึ่ง “หม่อน” แต่เดิมเป็นพืชพื้นเมืองของประเทศจีนตอนใต้ แถบเทือกเขาหิมาลัย ต่อมามีการนำมาปลูกในอินโดจีน ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ แถบประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศไทยสามารถปลูกได้ในหลายพื้นที่เช่นกัน

ที่ตำบลหลักสอง อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร มีสวนมัลเบอร์รี่ขนาดพื้นที่ 3 ไร่ เจ้าของ คือ คุณสุรวุฒิ เหลืองขมิ้น เกษตรกรชายวัย 56 ปี เนรมิตพื้นที่บริเวณนี้ให้กลายเป็นสวนมัลเบอร์รี่ ด้วยต้นหม่อนจำนวน 300 ต้น จำหน่ายทั้งผลสดและแปรรูป นอกจากนั้นยังเปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้ รายได้แต่ละเดือนเกือบ 3 แสนบาทเลยทีเดียว

คุณสุรวุฒิ เท้าความว่า เกิดมาในครอบครัวเกษตรกร ตอนเด็กๆ ปลูกสารพัดทั้งผักและผลไม้ อาทิ กล้วย ส้ม มะนาว มะพร้าว องุ่น ส่วนต้นหม่อนนั้นเริ่มปลูกเมื่อ 10 ปีที่แล้ว หรือราว พ.ศ.2550 โดยได้กิ่งพันธุ์หม่อน 1 ต้นมาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ปลูกเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน พ.ศ.2560 มี ต้นหม่อน 300 ต้น บนพื้นที่ 3 ไร่ เก็บผลผลิตแต่ละครั้งราว 1 – 2 ตัน ขายส่ง ขายปลีก รวมถึงแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ อีกด้วย

“ตอนแรกผมปลูกต้นมัลเบอร์รี่ แซมไปกับต้นไม้อื่น ในสวน ปลูก 4 ปี ลองเก็บผลไปขาย ปรากฏขายดีจากกิโลกรัมละ 80 มาเป็นกิโลกรัมละ 200 บาท จากต้นหม่อนต้นเดียวก็เพิ่มเป็นหลายสิบต้น นอกจากนั้นยังทำกิ่งตอนขาย หากปลูกด้วยกิ่งตอน ใช้เวลาประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี สามารถเก็บผลผลิตได้ โดยหม่อนจะออกลูกปีละ 2 ครั้ง ถ้าดูแลดีๆ สามารถเก็บผลผลิตได้ปีละ 4 ครั้ง ผมขายกิ่งตอนตามตลาดนัดจังหวัด สมุท สาคร นครปฐม กาญจนบุรี เพชรบุรี”

คุณสุรวุฒิ บอกต่อว่า ต้นหม่อนปลูกไม่ยาก ทนต่อสภาวะแห้งแล้งได้พอสมควร ส่วนปุ๋ยที่ใช้นั้น เลือกใช้ปุ๋ยสั่งตัด โดยคิดสูตรผสมขึ้นด้วยตัวเอง เพื่อให้พืชเจริญเติบโตได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งไม่ใช้สารเคมีในช่วงออกผล ใช้เวลาปลูก 50 – 60 วัน ก็สามารถเก็บผลผลิตได้ และให้ผลดกตลอดทั้งปี

สำหรับสายพันธุ์ต้น “มัลเบอร์รี” ที่เกษตรกรคนนี้ปลูก คือ สายพันธุ์กำแพงแสน 42 เป็นพันธุ์ที่มีลูกดก รสชาติหวาน เติบโตง่าย เหมาะกับพื้นที่ในเขตภาคกลาง โดยใช้กิ่งชำในการปลูก เว้นระยะห่างต่อต้นประมาณ 2-3 เมตร ปลูกทิ้งไว้โดยไม่ต้องดูแลอะไรมาก ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง

ช่วงที่แตกใบอ่อน เจ้าของสวนแนะนำให้ฉีดยาบำรุงที่เป็นชีวภาพแค่ 1-2 ครั้ง ปลูกครบ 7-8 เดือนจะออกผลผลิตให้เก็บได้ หลังจากออกผลผลิตแล้วให้ตัดแต่งกิ่ง จากนั้นเว้นช่วง 3 เดือน ก็จะออกผลผลิตในครั้งต่อไป ซึ่งในสวนแห่งนี้มี 300 ต้น ผลผลิตจะออกหมุนเวียนตลอดทั้งปี เก็บผลผลิตได้ตลอด

ในเรื่องการทำตลาดนั้น เกษตรกร บอกว่า เน้นขายผลสดเป็นหลัก ขายปลีกราคากิโลกรัมละ 200 บาท ขายส่ง 180 บาท สถานที่จัดจำหน่ายเน้นขายตามตลาดนัดสถานที่ราชการ โรงพยาบาล กลุ่มคนที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพ งานเทศกาล มีพ่อค้าคนกลางรับซื้อบ้าง มีนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนเข้ามา นอกจากนั้นมีบางส่วนนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น น้ำมัลเบอร์รี่ 100 เปอร์เซ็นต์ เครื่องดื่มมัลเบอร์รี่ผสมกับโยเกิร์ต ทำแยม โดยใช้ผลมัลเบอร์รี่หั่น 1 กก. กับน้ำตาลทรายแดง 3 ขีด

“ผมขายในจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียว อาทิ กาญจนบุรี ราชบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม กรุงเทพฯ ส่วนแม่ค้าที่มารับไปขายต่อ หากซื้อ 10 กิโลกรัมขึ้นไป จะอยู่ที่ 180 บาท ซึ่งรายได้แต่ละเดือนหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วจะมีกำไรอยู่ที่ 70,000 – 80,000บาท เป็นรายได้สามารถเลี้ยงคนในครอบครัวได้สบาย”

สำหรับข้อดีของต้นมัลเบอร์รี คือ ปลูกง่าย ดูแลไม่ยาก แต่จะมีปัญหาบ้างเช่นเรื่องการเก็บเกี่ยว เพราะต่อครั้งจะให้ผลผลิตค่อนข้างเยอะ  ต้องเก็บผลสุกออกจากต้นไม่เกิน 3 วัน เพราะถ้าเกินนี้จะเกิดเชื้อรา

ในเรื่องการตลาดนั้นมีปัญหาบ้าง  คุณสุรวุฒิ บอกว่า ลูกหม่อนเป็นผลไม้ที่อายุน้อย หากเก็บนานผลสดจะเน่า เกิดความเสียหาย ดังนั้นเลือกนำมาแปรรูป

สำหรับคนที่สนใจปลูกมัลเบอร์รี่ เกษตรกรย้ำว่า เรื่องตลาดสำคัญมาก ควรศึกษาว่าปลูกแล้วจะขายยังไง ขายให้ใคร ขายที่ไหน แต่หากสนใจจริงๆ ก็สามารถปลูกได้ โดยเเริ่มปลูกแต่น้อย 10 – 20 ต้น

“มัลเบอร์รี่ แม้จะเป็นผลไม้ลูกเล็ก แต่อุดมไปด้วยคุณค่าและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ณ ห้วงเวลานี้คนไทยและชาวต่างชาติรู้จักมากขึ้น กลุ่มคนที่ดูแลสุขภาพก็ให้ความสนใจผลไม้ชนิดนี้มาก ฉะนั้นมัลเบอร์รี่จึงเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ที่น่าจับตามอง”

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่เฟซบุ๊คแฟนเพจ สวนพ่อสุรวุฒิ