ดาวสู่ปลักตม กับความฝันใหม่ในแปลงผัก

เรื่องราวของ ดีทรอยด์ นั้นไม่ธรรมดา

จากเมืองหลวงอุตสาหกรรมยานยนต์โลกเมื่อร้อยปีก่อน เป็นเมืองจลาจลรายวัน เพราะเรื่องเหยียดผิว เข่นฆ่ากัน กดขี่กัน บ้านเมืองร้อนระอุจนผู้คนเตลิดหนี ไม่ว่าจะฝ่ายเหยียดผิวเขาหรือถูกเหยียด ดีทรอยด์กลายเป็นเมืองที่ไม่มีใครอยากอยู่ ผู้บริหารไม่มีเงินภาษีบริหารบ้านเมือง ทรุดโทรมตกต่ำ หนี้สินล้นพ้นตัว จนกลายเป็นเมืองใหญ่เมืองแรกของอเมริกาที่ล้มละลาย

จากดาวเด่นสู่ปลักตม ทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่สิบปี

ในยุคอันเรืองรอง ดีทรอยด์ ได้รับสมญาหลากหลาย อย่าง Motown ซึ่งมาจาก คำว่า Motor Town เมืองรถยนต์ เรารู้จัก คำว่า โมทาวน์ มานาน แต่ไม่รู้ว่ามันหมายถึงเมืองนี้

หรืออีกชื่อคือ The D หรือ เดอะดี มีคำนำหน้าว่า เดอะนี่ ยืนยันว่ายิ่งใหญ่หาใช่ไก่กา

ที่จริง ดีทรอยด์ เป็นศูนย์กลางการค้ามาก่อนหน้ายุครถยนต์แล้ว ด้วยความเป็นเมืองชายแดน จึงมีกิจกรรมการค้าไหลผ่านไปมาตั้งแต่ครั้งตั้งเป็นประเทศสหรัฐอเมริกานั่นเลยทีเดียว เป็นศูนย์กลางการเดินเรือในทะเลสาบทั้งห้า เป็นศูนย์กลางต่อเรือ และการค้าอื่นๆ

ดีทรอยด์ เป็นเมืองใหญ่ที่สุดของรัฐมิชิแกน ที่มีชิคาโกเป็นเมืองหลวง ดีทรอยด์อยู่ทางตอนเหนือของอเมริกา ติดแคนาดา

ครั้งยังรุ่งเรืองเป็นมหานครแห่งอุตสาหกรรมรถยนต์ ดีทรอยด์เป็นรังของ “Big Three” หรือสามพี่เบิ้มในวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ คือ General MotorsFord, และ Chrysler ทั้งหมดมีสำนักงานใหญ่และโรงงานในตัวเมืองดีทรอยด์ อุตสาหกรรมยานยนต์เริ่มปักหลักที่นี่ ตั้งแต่ พ.ศ. 2439 โดย เฮนรี่ ฟอร์ด เปิดโรงงานผลิตรถยนต์แห่งแรกของอเมริกา แล้วรุ่งเรืองถึงขีดสุดใน 30 กว่าปีหลังจากนั้น ประชากรขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนในช่วง พ.ศ. 2483 ดีทรอยด์กลายเป็นเมืองใหญ่ อันดับ 4 ของอเมริกา

การเข้ามาของอุตสาหกรรมยานยนต์ ไม่ได้นำมาเพียงสหภาพยูเนียนและการประท้วงเรียกร้องค่าแรงต่อเนื่องเท่านั้น มันยังนำมาซึ่งการอพยพของแรงงานจำนวนมาก หลากหลายสีผิว ปะทะเข้ากับคนผิวขาวเก่าที่อยู่ก่อนหน้า ซึ่งตั้งข้อรังเกียจคนผิวสีอย่างแรง กระบวนการเหยียดผิวหัวรุนแรง อย่าง Ku Klux Klan ก็เกิดและลงหลักปักฐานแข็งแรงที่นี่ มีกระบวนการก่อความรุนแรงเกิดขึ้นหลายราย และก่อเหตุอยู่ไม่เว้นวัน

Community gardeners care for over 1,400 plants Wednesday, August 1, 2012 at the Cadillac Urban Gardens on Merritt in Southwest Detroit, Michigan. General Motors has repurposed 250 shipping crates from its Orion Assembly plant to create the raised garden beds here. (Photo by John F. Martin for General Motors)

มีกระทั่งการจลาจลฆ่าฟันกันยืดเยื้อ ในปี พ.ศ. 2510 คนผิวสีตกเป็นเหยื่อ เสียชีวิตหลายสิบ บาดเจ็บหลายร้อย ถูกจับหลายพัน อาคารบ้านเรือนถูกเผาเรียบ จัดเป็นการจลาจลที่มีราคาแพงที่สุดของอเมริกา

อุตสาหกรรมยานยนต์อันเคยรุ่งเรืองสุดของอเมริกา เผชิญปัญหาหนัก ใน พ.ศ. 2516 และซ้ำอีกทีในปี 2522 ผู้คนหันไปหารถยนต์ใช้น้ำมันประหยัดกว่าจากญี่ปุ่น ยักษ์ใหญ่สะเทือนขายรถไม่ได้ เลิกจ้างคนงานหลายพัน ปิดโรงงานเกือบทั้งหมด ฐานภาษีของเมืองก็หายเหี้ยน

โรงงานปิดตัว คนงานตกงาน ประชากรก็หดตัว และหดตัวเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ที่จริงประชากรเริ่มหนีตั้งแต่มีปัญหาความรุนแรง และความเหลื่อมล้ำในการพัฒนา เพราะเน้นแต่ในเมือง ที่เป็นที่ตั้งของอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ แต่ปล่อยให้ชานเมืองที่เป็นที่อาศัยของคนงานอยู่ในสภาพไร้การเหลียวแล

อเมริกานั้น ภาษีท้องถิ่นทุกประเภทจะถูกใช้ในการพัฒนาท้องถิ่นนั้นๆ เมื่อดีทรอยด์ไม่มีอุตสาหกรรม ซ้ำคนก็พากันหนีออกไป เมืองก็ไม่มีภาษีมาพัฒนา บ้านเมืองทรุดโทรม เป็นเช่นนี้ผู้คนก็ยิ่งพากันย้ายหนีออกไป ยิ่งย้ายก็ยิ่งซ้ำเติมสถานะอันยอบแยบของเมือง

จากประชากรเกือบ 2 ล้านคน เหลืออยู่ราว 7 แสนคน บ้านช่องร้านรวงถูกทิ้งร้างมานับ 10 ปี ชุมชนชานเมืองกลายเป็นเมืองที่รอวันตาย ไม่มีใครอยู่ ผู้บริหารเมืองเก็บภาษีไม่ได้ ไม่มีเงินพัฒนา กระทั่งไฟสัญญาณจราจรก็เสียเกือบทั้งเมือง ไม่มีเงินซ่อม ไม่มีเงินซื้อหลอดไฟ

ใช้เวลาหลายปีกว่าจะฟื้นตัวขึ้นมาได้ เพราะรัฐมิชิแกนเข้าช่วยเหลือ เจรจาเจ้าหนี้ให้ยกหนี้ให้ และช่วยชำระเท่าที่จะทำได้ จึงพ้นจากสถานะล้มละลายมาได้

ที่จริงในตัวเมืองดีทรอยด์นั้น มีการพัฒนาต่อเนื่องนะ และพัฒนาได้ดีด้วย ดีทรอยด์มีอาคารบ้านเรือนสวยงาม มีคุณค่าทางศิลปะ ยูเนสโกประกาศให้เป็นเมืองแห่งการออกแบบ City of Design” แต่นั่นเป็นแค่ใจกลางเมือง ส่วนชุมชนนั้น แม้จะอยู่ในเมือง แต่ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร

การหนีจากดีทรอยด์ ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ คนที่ไม่หนีไปไหน เพราะไม่รู้จะไปไหนก็มีไม่น้อย และบ้างก็เชื่อว่าทนสู้อยู่ที่เดิมดีกว่าไปแสวงหาฝันที่อาจไม่มีอยู่จริง หรือหนีเสือไปเจอจระเข้ บ้างก็หนีไปแล้วไม่รอด ตกงานกลับมา

จะอย่างไรก็ตาม ชานเมืองดีทรอยด์ที่เคยเป็นที่พำนักของผู้คนที่ทำมาหากินในอุตสาหกรรมแสนล้านยามที่มันยังรุ่งเรือง บัดนี้เหลือแต่คนจน คนที่หนีไม่ได้ ทรัพย์สินรวมทั้งอาคารบ้านเรือนมูลค่าหดหาย ขายถูกเท่าไรไม่มีใครซื้อ

ผู้บริหารเมืองก็พยายามเต็มที่ เขาสร้างแหล่งที่หวังว่าจะสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจขึ้นมา กระทั่งยอมให้มีกาสิโน เพื่อหารายได้เข้าเมือง

ปีที่ตกต่ำสุดก่อนล้มละลาย ผู้บริหารเมืองเก็บภาษีไม่ได้ ขาดไป 245 ล้านเหรียญ เรียกว่าหายหดหมดจด แทบไม่มีเงินเดือนจ่ายพนักงาน มีผลต่อไปยังโรงเรียน และบริการของเมืองทั้งหมด

จนเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้วนี่เอง ผู้คนในเมืองดีทรอยด์รู้สึกว่าจะทนอยู่อย่างนี้ต่อไปไม่ได้ บางชุมชนไม่มีร้านค้าเหลืออยู่เลยด้วยซ้ำ จะซื้อข้าวปลาอาหารก็ลำบากลำบน มองไปทางไหนก็มีแต่ที่ดินและบ้านรกร้าง จะรอผู้บริหารเมืองมาช่วยก็คงจะต้องรออีกนาน เพราะไม่มีเงิน

พวกเขาที่ตกค้างอยู่ในชุมชน จึงเริ่มลงมือปลูกผักทำสวนกัน เบื้องต้นเพื่อจะได้มีอะไรกินโดยไม่ลำบากออกไปหาซื้อไกล ต่อมาก็เพื่อให้มีรายได้ ช่วยเหลือตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งผู้บริหารเมือง และต่อมาก็เพื่อให้ที่ดินไม่รกร้างว่างเปล่า ที่ดินหลายแปลงมีเจ้าของ แต่เจ้าของไม่สนใจจะทำอะไรกับมัน พวกเขาขออนุญาตใช้แล้วปลูกผัก เลี้ยงไก่ เลี้ยงเป็ด เลี้ยงแพะ เลี้ยงหมู ทำกันเงียบๆ มาหลายปี มีเหลือก็เอาไปขายที่ตลาดนัดในเมือง ช่วยเหลือกันเองในชุมชนเล็กๆ ที่เหลือกันอยู่ไม่กี่ครอบครัว

จนต่อมามันกลายเป็นกระแสที่หลายชุมชนลงมืออย่างจริงจัง โรงเรียนที่เหลืออยู่ไม่กี่แห่ง หันมาลงมือจริงจังบ้าง เด็กเริ่มเห็นดอกไม้แซมในที่ดินที่เคยรกร้างน่ากลัว

ทุกวันนี้ ดีทรอยด์ กำลังฟื้นตัวขึ้นอย่างช้าๆ และอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีโรงงานอุตสาหกรรมมูลค่าแสนล้านคอยหล่อเลี้ยงอีกต่อไป แต่มีแปลงผักปลอดสารพิษกระจายอยู่ในย่านที่เคยมีผู้คนอาศัยอยู่ ย่านที่เคยมีชีวิตชีวา และพวกเขากำลังคืนชีวิตนั้นให้กับชุมชุนของตนเอง อย่างช้าๆ แต่มั่นคง

คะเนว่าตอนนี้มีสวนผักหรือเกษตรชุมชนลักษณะเช่นนี้กระจายอยู่หลายสิบแห่งทั่วเมืองดีทรอยด์ พวกเขาพยายามทำให้เมืองน่าอยู่ ทำให้เมืองมีอะไรให้ได้เก็บเกี่ยว ให้ได้ลงทุนลงแรงและได้รับผลที่จับต้องได้ มันอาจไม่ฟู่ฟ่าเหมือนเมื่อครั้งพวกเขาเป็นเมืองหลวงแห่งอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลก

แต่สีเขียวในแปลงผัก แปรเป็นอาหารในแต่ละมื้อ พวกเขารู้สึกว่า ดีทรอยด์ ไม่สิ้นหวังอีกต่อไป