มะคาเดเมีย พืชแห่งความเคี้ยวมัน มีให้ลิ้มชิมรส ที่บ้านแม่แจ๋ม เมืองปาน

มะคาเดเมีย, แมคคะเดเมีย, มักคาดาเมีย, แมคาเดเมีย, แมคคาเดเมีย พบเห็นการเขียนที่แตกต่างกัน เพราะเป็นชื่อเรียกทับคำศัพท์ จาก macadamia ชื่อดั้งเดิมใช้ คำว่า “แมคคาเดเมีย” ตามชื่อของ มร. แมคคาดัม ซึ่งเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น แต่ในบทความนี้ผมขอใช้ชื่อตามที่ ม.จ. จักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ ทรงให้เขียนเป็นภาษาไทยว่า “มะคาเดเมีย” มักจะเรียกกันสั้นๆ ว่า “มะคา”

มะคาเดเมีย เป็นไม้ผลที่มิใช่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย แต่เป็นพืชท้องถิ่นของประเทศเครือรัฐออสเตรเลีย แต่หากพื้นที่ใดในโลกนี้ที่มีสภาพอากาศหนาวเย็น อุณหภูมิเฉลี่ย 10-25 องศาเซลเซียส หากพื้นที่นั้นมีอุณหภูมิ 18 องศาเซลเซียส สัก 1 เดือน ก็สามารถนำมาปลูกได้ แต่ผลผลิตที่ออกมาจะเป็นเช่นไร มีปัจจัยที่เป็นตัวแปรหลายประการ

ดอก

ในประเทศไทยก็ได้มีการนำมะคาเดเมียจากต่างประเทศมาทดลองปลูกมาช้านานแล้ว ทั้งจากเมล็ดและกิ่งพันธุ์ (ค้นหาประวัติได้ในสื่อออนไลน์) ต่อมาก็ได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ ปรับปรุงพันธุ์ให้มีขนาดและรสชาติตามที่คนไทยนิยม ทั้งได้มีการแนะนำส่งเสริมให้มีการเพาะปลูกกันหลายพื้นที่ที่มีความเหมาะสม ที่ต้นมะคาเดเมียจะเจริญเติบโตและให้ผลผลิตได้ดี เช่น ทางภาคเหนือ ที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ เพชรบูรณ์ แม่ฮ่องสอน ตาก น่าน ลำปาง พิษณุโลก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็มีที่จังหวัดเลย ชัยภูมิ เป็นต้น

น่าซื้อ

ที่บ้านแม่แจ๋ม ตำบลแจ้ซ้อน อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง มีเกษตรกรผู้ปลูกมะคาเดเมีย และแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ จำหน่ายผ่านหลายช่องทาง

คุณสายคำ มูลคำดี

ผมเดินทางไปที่บ้านแม่แจ๋ม พบกับ คุณสายคำ มูลคำดี ณ บ้านเลขที่ 99 หมู่ที่ 1 เราสนทนากันที่นั่น เธอได้ให้รายละเอียดพอที่ท่านผู้อ่าน อ่านแล้วจะเห็นภาพกระบวนการผลิตและแปรรูปมะคาเดเมีย แม้จะไม่ได้อยู่ร่วมสนทนากับผมและคุณสายคำก็ตามที

ผลแก่

ต้นมะคาเดเมีย ที่นั่นได้ปลูกมานานแล้วเมื่อ 27 ปีก่อน บนเนื้อที่ 4 ไร่ ปลูกร่วมกันกับ ต้นพลับ กาแฟ บ๊วย เสาวรส  แต่เธอได้เล่าถึงเมื่อครั้งที่ปลูกมะคาเดเมียว่า ไม้ผลชนิดนี้ชอบดินร่วนซุย เป็นดินที่มีการระบายน้ำได้ดี มีหน้าดินลึก  ปลูกแล้วต้องนำไม้มาปักผูกด้วยเชือกกันโยก เพราะเป็นไม้ผลที่มีระบบรากตื้น ที่สำคัญควรปลูกคละสายพันธุ์กัน  ธรรมชาติของมะคาเดเมียชอบผสมข้ามสายพันธุ์ และต้องปลูกทั้งต้นตัวผู้และต้นตัวเมีย มะคาเดเมียเป็นสายพันธุ์ที่พัฒนามาจากพันธุ์ของออสเตรเลียและได้มีการปรับปรุงพันธุ์ให้มีขนาดผลใหญ่ขึ้น มีรสชาติหวานมัน กลิ่นหอมกว่าเดิม ที่สวนนี้สายพันธุ์ที่นำมาปลูกคือ สายพันธุ์เชียงใหม่ 700 (พันธุ์ HAES 741) ผลมีขนาดปานกลาง ผิวเรียบ สีน้ำตาลอ่อน มีจุดลายประ เนื้อสีขาว และสายพันธุ์พิททู มีผลขนาดใหญ่ เนื้อในหนา ผิวออกเรียบสีเขียวถึงน้ำตาล  มะคาเดเมียเจริญเติบโตได้ดีบนพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเล 700 เมตรขึ้นไป แต่ที่บ้านแม่แจ๋มอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล  1,200 เมตร

การดูแล …เนื่องจากแปลงปลูกมะคาเดเมีย ปลูกผสมผสานกับพืชชนิดอื่นเสมือนไม้ป่า และอยู่ในแปลงเดียวกันกับต้นกาแฟ เมื่อให้น้ำให้ปุ๋ยแก่ต้นกาแฟ มะคาเดเมียก็ได้รับน้ำรับปุ๋ยไปด้วยเช่นกัน จึงไม่ต้องดูแลอะไรเป็นพิเศษ เมื่อต้นอายุ 5 ปี ก็จะเริ่มให้ผลผลิต แต่ควรได้รับความหนาวเย็นของอากาศ ที่อุณหภูมิ 18 องศาเซลเซียส ระยะหนึ่งเป็นการกระตุ้นตาดอกก็จะให้ผลผลิตที่ดี มีการออกดอกได้เรื่อยๆ ตลอดทั้งปี แม้บนต้นจะยังมีผลผลิตติดอยู่ก็ตาม ช่วงการติดผลจะเป็นหน้าฝน สิ่งที่ต้องระมัดระวังในการดูแลก็คือ ตัวปลวก ที่มักจะชอบกัดกินราก ทั้งหนูก็ชอบมากินผลที่ร่วงหล่นอยู่บริเวณรอบโคนต้น

การเก็บผล …นับระยะเวลาจากดอกมะคาเดเมียบานถึงช่วงติดผลจนผลแก่และร่วงหล่น ใช้เวลา 6-8 เดือน แม้ต้นอายุ 5 ปี จะเริ่มให้ผลผลิต แต่ก็ยังมีจำนวนน้อย ยิ่งอายุต้นที่แก่มากขึ้นก็จะให้ผลผลิตมาก เช่น ต้นอายุ 10 ปีขึ้นไป  ให้ผลผลิต ประมาณ 20-30 กิโลกรัม ส่วนการเก็บผลจะเป็นช่วงเดือนมีนาคม-สิงหาคม แล้วนำผลมะคาเดเมียไปทำอะไรต่อ…

กว่าจะมาเป็น macadamia nut ให้ขบเคี้ยวมันๆ ต้องผ่านกรรมวิธีหลายขั้นตอน

อบ
เครื่องกระเทาะ

 ผลมะคาเดเมีย จะเก็บผลก็ต่อเมื่อมันร่วงหล่นจากต้นตามธรรมชาติลงมาบนพื้นดิน นั่นแสดงว่า ผลแก่จัดแล้ว ผลภายในเป็นกะลาแข็งห่อหุ้มเนื้อในสีขาวนวล เมื่อนำผลมาผ่ากลาง จะเห็นลักษณะ ดังนี้

มะคาเดเมีย เป็นพืชอุตสาหกรรม หากนำไปแปรรูปจะได้เป็นผลิตภัณฑ์อาหารและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ

กรรมวิธีในการแปรรูป

จากผลมะคาเดเมียเปลือกเขียวสดๆ เมื่อเก็บแล้วต้องนำมาคัดคุณภาพ นำมากะเทาะเปลือก

กะลา

นำกะลาเข้าเครื่องอบที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส ประมาณ 2 วัน เพื่อลดความชื้นและให้เนื้อในล่อนจากกะลา

นำเข้าเครื่องกะเทาะกะลา คัดแยกกะลากับเนื้อ จะได้เนื้อในสีขาวนวล

นำมารับประทาน หรือนำไปใส่บรรจุภัณฑ์ออกขายได้

มะคาเดเมีย ขบเคี้ยวแล้วมีรสชาติหวานมันเหมือนถั่ว จึงเรียกว่า macadamia nut เป็นแหล่งโปรตีน มีสารต้านอนุมูลอิสระ มีไฟเบอร์ มีธาตุอาหารสูง มีวิตามินบีสูง จึงมีประโยชน์ในการป้องกันโรคหัวใจ ช่วยลดน้ำหนัก ช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยเสริมสร้างประสาทและสมองให้แข็งแรง เหมาะสำหรับผู้เป็นโรคความดันโลหิตสูง

ส่วนกะลาสีน้ำตาลเข้ม มีประโยชน์นำไปทำเป็นถ่านทดแทนไม้หรือนำไปโรยรอบๆ บริเวณทางเดินเท้ามีความแข็งแรงดีมาก

ก่อนบรรจุ

หากต้องการที่จะซื้อหรือสั่งซื้อ macadamia nut คุณสายคำ บอกว่า ที่บ้านของเธอก็มีจำหน่าย เพราะเปิดร้านขายเครื่องดื่มด้วย ชื่อ ดอยแม่แจ๋ม สองพี่น้องคอฟฟี่แมค และมีวางจำหน่ายที่อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน หรือจะติดต่อผ่านทาง เฟซบุ๊กสองพี่น้องคอฟฟี่แมค หรือ โทร. 098-789-3020

พร้อมขาย