ปลูกมะม่วงส่งออก ระดับพรีเมี่ยม บนเนื้อที่กว่า 4,000 ไร่ ทรงต้นเตี้ย ลดต้นทุน ง่ายต่อการดูแล

“ไร่หุบผึ้ง” เป็นสวนมะม่วงที่เน้นผลิตมะม่วงเพื่อทางการค้า ไม่ว่าจะเป็นมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง ฟ้าลั่น และโชคอนันต์ ด้วยเหตุผลที่ต้องการเพิ่มมูลค่า พร้อมกับการบริหารจัดการในกระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้สวนแห่งนี้ผลิตมะม่วงได้อย่างมีคุณภาพ ชนิดเกรดส่งนอกเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วยังสามารถผลิตขายได้ตลอดทั้งปี

ทีมงานเทคโนโลยีชาวบ้าน ลงพื้นที่เข้าไปดูการปลูกมะม่วงในไร่หุบผึ้ง ซึ่งตั้งอยู่ที่ ตำบลหนองพลับ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สวนแห่งนี้มีพื้นที่ทั้งหมดกว่า 4,000 ไร่ จำนวนต้นมะม่วงที่ปลูกทั้งหมด ประมาณ 300,000 ต้น จัดระบบการปลูกมะม่วงเป็นโซน แต่ละโซนกำหนดพันธุ์มะม่วงไว้อย่างชัดเจน มีการดูแลจัดการภายในสวนอย่างมีระเบียบ จึงถือได้ว่าไร่หุบผึ้งเป็นสวนมะม่วงที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

ทั้งนี้ ทีมงานได้รับเกียรติจากคณะเจ้าของไร่อย่าง คุณวิกรม สุขวณิช คุณนงนุช ชำนาญผล และ คุณอภิชาติ  ชำนาญผล ให้การต้อนรับพูดคุย

คุณวิกรม เจ้าของไร่หุบผึ้ง เป็นคนกรุงเทพฯ ไม่ได้ร่ำเรียน หรือมีความรู้เกี่ยวกับการเกษตร แต่ด้วยความเป็นคนที่ชื่นชอบต้นไม้ โดยเฉพาะมะม่วงจึงทำให้สนใจปลูกมาตั้งแต่อายุ 20 ปี ไม่ว่าจะเป็นที่อำเภอศรีราชา หรือแถวรังสิต นอกจากนั้น ยังแสวงหาความรู้ใหม่ๆ ด้วยการเดินทางไปดูการทำสวนเกษตรที่ต่างประเทศ จนได้มาบุกเบิกไร่หุบผึ้งแห่งนี้เมื่อกว่า 30 ปี ที่ผ่านมา

 

โชคอนันต์ ราคาไม่คุ้ม มองหาพันธุ์ทางการค้าเสียบแทน

ไร่หุบผึ้ง เริ่มต้นจากการปลูกพันธุ์มะม่วงแก้ว ต่อมาใช้มะม่วงแก้วเป็นตอแล้วเปลี่ยนมาเสียบพันธุ์โชคอนันต์แทน โดยมะม่วงโชคอนันต์ปลูกไว้จำนวนกว่า 2,000 ไร่ กับมะม่วงฟ้าลั่นอีก จำนวน 300 ไร่ แต่ระยะหลังราคาขายมะม่วงโชคอนันต์ลดลง อย่างถ้าในฤดูมีราคาเพียง กิโลกรัมละ 10 บาท หรือถ้านอกฤดู ราคากิโลกรัมละ 30 บาท จึงทำให้คุณวิกรมมองหาพันธุ์ทางการค้าที่มีราคาสูงอย่าง น้ำดอกไม้สีทอง เพราะเป็นที่ต้องการของตลาดระดับบนและต่างประเทศ

ช่อดอกโชคอนันต์

“ดังนั้น ทุกวันนี้ได้ตัดโชคอนันต์แล้วเสียบน้ำดอกไม้สีทองแทน แล้วมีแผนว่าจะทำน้ำดอกไม้สีทอง จำนวน 1,000 ไร่ และฟ้าลั่น จำนวน 1,000 ไร่ พร้อมกับพัฒนาแนวทางการปลูกและดูแลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อต้องการผลิตมะม่วงคุณภาพเกรดพรีเมี่ยมป้อนตลาด”

 

แนะการทำมะม่วงส่งออก ต้องดูแลตั้งแต่ช่วงแทงดอก

คุณวิกรม บอกว่า การทำมะม่วงให้มีคุณภาพจะต้องเริ่มใส่ใจตั้งแต่ช่วงแทงดอก เพราะถือเป็นระยะสำคัญที่ต้องใส่ใจอย่างเต็มที่ จะต้องดูแล บำรุงรักษาอยู่ตลอดเวลาอย่างดี ควรฉีดพ่นยาป้องกันหนอนมากินช่อดอก ทั้งนี้หากดูแลได้อย่างดีมะม่วงทุกผลจะมีคุณภาพเท่ากัน

การห่อผลมะม่วงนับเป็นขั้นตอนที่สำคัญ เนื่องจากผลมะม่วงที่มีสีสวย ผิวเรียบเกลี้ยง จะทำให้ขายตลาดต่างประเทศได้ในราคาสูง

น้ำดอกไม้สีทองที่มีผิวสวยและขนาดใหญ

“เมื่อผลมะม่วงมีขนาดประมาณ 10 เซนติเมตร แล้วเป็นผลที่มีคุณภาพ สมบูรณ์ ผิวเรียบ ไม่มีตำหนิ จึงห่อผลได้ ขณะเดียวกันในช่วงนี้ต้องฉีดยาป้องกันเชื้อราและแมลง โดยเฉพาะศัตรูที่ร้ายที่สุดคือ เพลี้ยไฟ จำเป็นต้องฉีดพ่นยาป้องกันไว้ก่อนล่วงหน้า ทั้งนี้มะม่วงหลังห่อผลแล้ว ใช้เวลาประมาณ 40 วัน จึงสามารถเก็บผลผลิตได้”

คุณวิกรม บอกว่า มะม่วงที่ปลูกในไร่หุบผึ้ง ใช้วิธีไม่ต่างจากที่ชาวสวนมะม่วงแห่งอื่นปฏิบัติกัน เพียงแต่ที่สวนของเขามีพื้นที่กว้างใหญ่จึงจำเป็นต้องให้ความใส่ใจอย่างเต็มที่ ตลอดจนมีการนำระบบบริหารจัดการเรื่องปุ๋ย/ยาและฮอร์โมนอย่างครบถ้วน อีกทั้งยังคอยหมั่นดูแลอย่างใกล้ชิด และหากพบปัญหาความผิดปกติจะต้องรีบหาวิธีแก้ไขทันที

 

การมีทรงต้นเตี้ย ง่ายต่อการดูแล บริหารจัดการ ทั้งยังช่วยลดต้นทุน

หากสังเกตทรงต้นมะม่วงในไร่หุบผึ้งบางแปลงมีระดับไม่สูงนัก แล้วยังเตี้ยกว่าสวนมะม่วงแห่งอื่นที่พบเห็น คุณวิกรม บอกว่า สมัยแรกที่เริ่มปลูกมะม่วงได้หาความรู้ พร้อมเดินทางไปดูสวนผลไม้ในต่างประเทศ พบว่าส่วนใหญ่ทรงต้นเตี้ยทั้งนั้น แถมยังให้ผลผลิตดกและมีความสมบูรณ์กว่าต้นใหญ่ด้วย

“ฉะนั้น ขนาดความสูงต้นมะม่วงจึงไม่เกี่ยวข้องกับจำนวนผลผลิตที่ได้มาก-น้อย แต่อยู่ที่การบริหารจัดการมากกว่า นอกจากนั้น ข้อดีของการไว้ต้นขนาดเตี้ยยังช่วยให้การทำงานทุกขั้นตอนตั้งแต่การตัดแต่งกิ่ง การฉีดพ่นยา การห่อผล/เก็บผล เป็นไปอย่างง่าย สะดวก รวดเร็ว ช่วยให้ลดต้นทุนได้หลายทาง”

โซนนี้เป็นต้นมะม่วงทรงเตี้ย

ไร่หุบผึ้ง เปิดเป็นสวนผลิตมะม่วงขายทั้งในและต่างประเทศมาเป็นเวลากว่า 30 ปี ความจริงแล้วพื้นที่แห่งนี้เคยเป็นไร่อ้อยมาก่อน ส่วนคำว่า หุบผึ้ง เป็นชื่อที่ชาวบ้านแถวนี้เรียกกัน พื้นที่ของไร่หุบผึ้งจัดว่ายังคงมีความเป็นป่าธรรมชาติที่สมบูรณ์ เนื่องจากโอบล้อมไปด้วยภูเขาและต้นไม้ อีกทั้งการเดินทางเข้า-ออก สามารถใช้เพียงเส้นทางเดียวเท่านั้น แล้วยังมีความสมบูรณ์เรื่องแหล่งน้ำ เนื่องจากมีอ่างเก็บน้ำห้วยไทรงามที่ทางชลประทานก่อสร้างไว้ 1 แห่ง กับที่ไร่หุบผึ้งได้ขุดไว้บนเนื้อที่ 30 ไร่ อีก 1 แห่ง

ฉะนั้น ด้วยความได้เปรียบในเชิงนิเวศทั้งความสมบูรณ์ของป่าไม้ ความชุ่มชื้นของผิวดิน ตลอดจนความเป็นดินใหม่ อาจเป็นอีกเหตุผลที่ช่วยทำให้มะม่วงในไร่หุบผึ้งมีคุณภาพด้วยเช่นกัน

 

ผลิตส่งออก 2 รอบ ต่อปี

คราวนี้มาดูด้านการตลาดกันบ้าง คุณอภิชาติ กล่าวว่า ผลผลิตมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง ใน 1 ปี มีผลผลิต จำนวน 2 รอบ คือในฤดูกับนอกฤดู หากเฉลี่ยแล้วได้ผลผลิตประมาณ 2 ตัน ต่อไร่ มะม่วงที่ติดผลจะเก็บไว้เกือบทั้งหมด เพราะทุกผลมีคุณภาพ เพียงแต่ว่าจะนำมาจัดแบ่งเกรดใดเท่านั้น

ทั้งนี้ ผลผลิตที่เกิดในฤดูจะอยู่ในช่วงประมาณเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ฉะนั้น ถ้าเลยพฤษภาคมไปแล้วจะเป็นมะม่วงนอกฤดู ซึ่งถือเป็นช่วงที่มะม่วงน้ำดอกไม้มีราคาสูง เพราะเป็นไปตามกลไกการตลาด

ฟ้าลั่น

อย่างไรก็ตาม การเก็บผลมะม่วงเพื่อการส่งออกจะต้องเก็บสุก ที่ความแก่ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีผลผลิตรวมประมาณ 450 ตัน ต่อปี (2 รุ่น) โดยจะแบ่งเป็นมะม่วงน้ำดอกไม้ส่งออกและขายในประเทศ แล้วยังมีฟ้าลั่น ส่วนโชคอนันต์ที่ยังคงมีเหลืออยู่จะเน้นขายตลาดในประเทศเป็นหลัก มีขายทั้งผลสดและแปรรูปเข้าโรงงาน

“สำหรับเกรดมะม่วงเพื่อส่งขายต่างประเทศจะแบ่งเฉพาะขนาดผลเท่านั้น โดยกำหนดให้ทุกผลเป็นมะม่วงเกรดพรีเมี่ยม เพราะผ่านการคัดคุณภาพและความสมบูรณ์มาแล้ว เพียงแต่กำหนดขนาดตามน้ำหนัก อย่างถ้าน้ำหนักอยู่ระหว่าง 300-500 กรัม จัดเป็นรุ่นใหญ่ แล้วถ้าน้ำหนักรองลงมาเป็นรุ่นกลางและเล็ก”

คุณอภิชาติ เผยถึงการติดต่อซื้อ-ขาย มะม่วงเพื่อการส่งออกไปยังต่างประเทศนั้นมีการดำเนินการขั้นตอนผ่านตัวแทนหรือโบรกเกอร์ ขณะเดียวกันตัวแทนผู้รับซื้อมะม่วงก็จะมีตลาดรับซื้อที่ชัดเจนแล้ว

พร้อมกับชี้ว่าตลาดมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองมีความต้องการอย่างสูงในตลาดต่างประเทศ ถึงแม้ที่ไร่หุบผึ้งจะผลิตได้มากเท่าไรก็ไม่เคยพอ ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องไปวิ่งหาตลาดเอง เพราะผู้ซื้อได้สั่งจองล่วงหน้าไว้ทั้งหมดแล้ว

ใหญ่กว่ามือถือ

“ทางด้านมะม่วงดิบ ขณะนี้มีฟ้าลั่นและโชคอนันต์เท่านั้น โดยโชคอนันต์จะเก็บผลดิบขายในช่วงนอกฤดู พอเข้าในฤดูจะเก็บเฉพาะผลสุกขาย ทั้งนี้ฟ้าลั่นส่งขายประเทศเพื่อนบ้านใกล้ๆ”

ในด้านราคาขาย ถ้าเป็นมะม่วงคุณภาพเกรดส่งนอก ขายในราคาเฉลี่ย กิโลกรัมละ 110 บาท ซึ่งราคานี้ผู้ขายเพียงแค่ตัดมาจากต้นในขณะที่ยังห่อผลอยู่ จากนั้นที่เหลือไม่ว่าจะเป็นการคัดแยก การบรรจุใส่ลัง ฯลฯ เป็นหน้าที่ของตัวแทนรับซื้อเพื่อจะรับช่วงต่อทั้งหมด

“ผลผลิตมะม่วงน้ำดอกไม้ ส่วนใหญ่ ร้อยละกว่า 90 ส่งขายต่างประเทศ เท่าที่ทราบส่งขายทั้งในเอเชียและยุโรปหลายประเทศ รวมถึงบางส่วนของประเทศเพื่อนบ้าน โดยแหล่งวางจำหน่ายในต่างประเทศมักอยู่ตามห้างแบรนด์ดัง หรือบางส่วนนำไปใช้ในโรงแรมหรู” คุณอภิชาติ กล่าว

สนใจสั่งซื้อมะม่วงคุณภาพจากไร่หุบผึ้ง ติดต่อ คุณอภิชาติ ชำนาญผล โทรศัพท์ (081) 174-8584 หรือเข้าไปชมภาพสวนมะม่วงกับบรรยากาศธรรมชาติสวยๆ ได้ที่ยูทูบ “ไร่หุบผึ้ง”