ทองดี ทะฤษี ทำเกษตรผสมผสาน มีรายได้ รายวัน รายเดือน และรายปี ที่แพร่

ผู้เขียนมีโอกาสรู้จัก ลุงทองดี ทะฤษี มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 ลุงทองดีอยู่หมู่ที่ 3 ตำบลสวนเขื่อน อำเภอเมือง จังหวัดแพร่

ผู้เขียนได้ไปซื้อที่ดินที่ตำบลสวนเขื่อน อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ ไว้เมื่อปี พ.ศ. 2542 เพราะเห็นว่าเป็นที่ดินที่มีลำห้วยไหลผ่านถึง 2 ลำห้วย เรียกว่า ห้วยแม่แคมบก และห้วยแม่ชอด ที่ดินที่มีลำห้วยไหลผ่านจะหายาก ตอนนั้นผู้เขียนยังทำงานเป็นนักเขียนอยู่กรุงเทพฯ แต่มีจิตใจพิสมัยป่าเขา ลำเนาไพร ได้เข้าป่าแล้วมีความสุข ที่ดินแปลงนี้มีทั้งหมดประมาณ 20 ไร่ เจ้าของเดิมเขามีอายุมากแล้ว แต่เดิมเขาปลูกข้าวก่ำบ้าง ปลูกถั่วลิสงบ้าง ที่ดินแปลงนี้สวยมาก อยู่ตามลำห้วย อยู่ห่างจากตัวจังหวัดแพร่ เพียง 7 กิโลเมตร เท่านั้น

ลุงทองดี ทะฤษี

เจ้าของที่ดินเป็นชาวเขาเผ่าหนึ่ง แต่มาอยู่เมืองแพร่สมัยดึกดำบรรพ์ มาแจ้งเจ้าของที่ดินแปลงนี้ ชื่อ พ่อใหญ่ทา อายุเกือบ 100 ปี ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ เมื่อได้ไปซื้อที่ดินอยู่ใกล้ที่ลุงทองดีก็เลยได้รู้จักกัน แกเป็นช่างต่อเติมบ้าน ผู้เขียนเลยไปขอให้แกช่วยมาปลูกกระท่อมในไร่ให้ ก็เลยได้รู้จักกัน ลุงทองดี แกมีความสามารถหลายอย่าง แม้แต่การปลูกต้นไม้ แกมีอาชีพเป็นเกษตรกรโดยกำเนิด พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย แกเป็นคนทำนา ทำสวนเมี่ยง ทำสวนกาแฟมาโดยตลอด เนื่องจากภูมิศาสตร์ของตำบลสวนเขื่อนนี้โอบล้อมไปด้วยขุนเขา มีลำห้วยแม่แคบกม อากาศเย็นตลอดทั้งปี จึงทำให้ไม้ผลทุกอย่างมีคุณภาพสูง ปลูกลางสาดก็มีรสหวานเยี่ยมกว่าใครในเมืองแพร่ เลยมีสมญาว่า สวนเขื่อนมีลางสาดหวาน ข้าวสารขาว ลูกสาวสวย

ชะอม

ปัจจุบัน ตำบลสวนเขื่อนกลายเป็นไฮไลต์ของเมืองแพร่ไปแล้ว โดยจะขึ้นป้ายคัตเอาต์ก่อนจะเข้าเมืองแพร่ เชิญให้ไปแอ่วน้ำตกแม่แคม บ้านนาคูหา ไปชิมสาหร่ายน้ำจืดขึ้น

กาแฟสุกเต็มต้น

เอาล่ะ เข้ามาหาเรื่องของลุงทองดี กับอะโวกาโดเลยดีกว่า ลุงทองดี แกมีหัวเกษตรก้าวหน้า แกติดตามข่าวสารเรื่องเกษตรกรจากทีวี หน่วยงานราชการก็ได้เข้ามาอบรมให้ความรู้ใหม่ๆ แก่เกษตรกรอยู่มิได้ขาด แต่เชื่อมั้ยว่า กลุ่มเกษตรกรที่เข้าอบรมนั้นมีเป็นร้อย แต่จะหาคนที่ทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราวนั้นมีน้อยมาก เรียกว่าเข้าอบรมไปอย่างนั้นแหละ พอกลับบ้านก็ทิ้งเรื่องอบรมเหล่านั้น แบบว่าเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา อย่าหวังว่าจะไปลงมือทำ แต่ละครอบครัวเขาจะมีที่ดินทำกินกันทุกครอบครัว ครอบครัวละ 2-3 ไร่ เป็นอย่างน้อย แต่พวกเขาเหล่านั้นจะทำแต่นาอย่างเดียว พอมีบ้างไว้กินเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นก็จะออกรับจ้างทั่วไป พอมีพอกินไปวันๆ ไม่มีอนาคต จะหาเงินไว้ได้สักก้อนไม่มี

แต่ลุงทองดี มีหัวคิดไม่เหมือนใคร ที่ดินมีอยู่ 9 ไร่ แบ่งทำนา 3 ไร่ ปลูกผักชะอม 2 ไร่ ปลูกผักกาด-ผักดอง ขาย 1 ไร่ เหลืออีก 3 ไร่ ปลูกอะโวกาโด ไร่ละ 50 ต้น 3 ไร่ปลูกได้ 150 ต้น ดินที่นี่เป็นดินดีมาก มีแร่ธาตุครบถ้วน เพราะมีน้ำห้วยไหลผ่านมาทุกปี นำเอาแร่ธาตุบนภูเขาลงมา

ต้นเสาวรส

ลุงทองดีเป็นคนแรก หรือเจ้าแรกที่ปลูกอะโวกาโดในละแวกตำบลสวนเขื่อน ตำบลนี้มีทั้งหมด 10 หมู่บ้าน ส่วนใหญ่จะปลูกบ้านอยู่ตามไหล่เขา ใกล้น้ำตก ส่วนใหญ่จะปลูกชา กาแฟ ลางสาด บนภูเขาซึ่งจะเป็นที่ดินของกรมป่าไม้ สมัยก่อนไม่เข้มงวดกันนัก ใครนึกอย่างได้ที่ตรงไหนก็ถางป่าเอาได้เลย ตอนนั้นกรมป่าไม้ไม่ว่าอะไร จนกลายเป็นที่มาของคำว่าเขาหัวโล้น ใครอยากได้ต้นไม้มาปลูกบ้านก็ขึ้นไปตัดเอาเลย เลือกเอาตามใจชอบ จนปัจจุบันกลายเป็นแหล่งเกิดของป่าถล่ม ดินถล่ม กรมป่าไม้ต้องเข้าไปหยุดการทำลายป่า แต่ก็อย่างว่าเหมือนวัวหายล้อมคอกนั่นแหละ ชาวบ้านเชื่อฟังที่ไหน เผลอเมื่อไรก็เอาเมื่อนั้น แอบลักลอบตัดไม้มาขายนั่นแหละ จนต้องจับเข้าคุกนับไม่ถ้วนกับพวกชอบทำลายป่าต้นน้ำลำธารเหล่านี้

ผลผลิตเสาวรส

ลุงทองดี ปลูกอะโวกาโดก่อนใครในละแวกนี้ ชาวบ้านแถบนี้ยังไม่มีใครรู้จักไม้ผลชนิดนี้ นอกจากจะไม่รู้จักแล้วยังกินไม่เป็น ไม่รู้ประโยชน์อะไรเลย แต่ลุงไม่สนใจ ขายอะโวกาโดให้คนละแวกนี้ เขาเจาะจงขายให้ในหมู่ข้าราชการที่เขามีความรู้ รู้ประโยชน์ของไม้ผลชนิดนี้ว่ามีคุณค่าทางโภชนาการอย่างไรบ้าง ชาวบ้านทั่วไปนี้ไม่ค่อยมีความรู้ จะไม่สนใจ ปากต่อปากบอกกันต่อๆ ไปในหมู่บ้านข้าราชการ เวลาอะโวกาโดออกลูกมาแก่จนได้ที่ก็จะมีคนมาสั่งจองไว้ทั้งหมด เรียกว่ามีเท่าไรไม่พอขาย

ต้นหนึ่งลุงเก็บได้ครั้งละ 10 กิโลกรัม ลุงทองดี บอกเวลานั้นขายได้กิโลกรัมละ 70 บาทก็เท่ากับมีรายได้ต้นละ 700 บาท ก็คูณตัวเลขดูก็ได้ 100 ต้น คูณ 700 ก็เท่ากับ 67,000 บาท  ลุงก็แอบเก็บเงินเงียบๆ มีรายได้เป็นแสน ต่อ 2 ครั้ง จนข่าวรั่วไหลเล่าลือกันว่า ลุงทองดีขายไม้ผลชนิดนี้ได้เงินเรือนแสน ลุงได้รับการยกย่องว่าเป็นเกษตรกรตัวอย่าง จากเกษตรตำบล-เกษตรอำเภอ ไม้ผลชนิดนี้ใครทำก่อนรวยก่อน เขาไม่ขายให้ชาวบ้านกินหรอก เขาเจาะจงขายให้พวกรักสุขภาพ เพราะไม้ผลชนิดนี้มันมาจากเมืองฝรั่ง คุณภาพยอดเยี่ยมดีต่อสุขภาพ จนเดี๋ยวนี้เอาไปทำเครื่องสำอาง แต่กว่าจะเห็นเงินแสนก็ต้องเป็นคนขยัน

ปลูกไผ่

ผู้เขียนว่า คนขี้เกียจคงทำไม่ได้หรอก ลุงทองดี แกมีสุขภาพแข็งแรง เพราะอยู่ในที่อากาศดี อาหารดี ออกกำลังกาย กินพืชผัก ผลไม้ ปลอดสาร สวนของลุงทำแบบอินทรีย์ล้วนๆ ไม่เอาสารเคมีเข้ามาเด็ดขาด สารเคมีที่ไม่ค่อยดีต่อสุขภาพ เช่น ยาฆ่าหญ้า-ยาฆ่าหนอน

อะโวกาโด ไม่ค่อยจะมีศัตรูอะไรมารบกวน ถ้ามีแกก็จะใส่สารชีวภาพ เช่น สารจากสะเดา ใช้วิธีหมักและฉีดพ่น อะโวกาโดนั้นปีหนึ่งจะมีรายได้ครั้งหนึ่ง เรียกว่ารายได้เป็นรายปี

ผสมผสาน แอบอิงธรรมชาติ

ส่วนรายได้เป็นรายวัน ก็คือภรรยาของลุงและพี่สาวภรรยา สองคนจะทำผักชะอม และผักกาดดองขายวันต่อวัน ผักชะอมจะเก็บได้ครั้งละ 50 กิโลกรัม กิโลกรัมละ 80 บาท จะมีรายได้ 400 บาท ต่อครั้ง ต่อวัน ในฤดูแล้งจะมีราคาสูง ผักชะอมไม่ต้องใช้น้ำเยอะ แค่น้ำค้างหล่นใส่ก็แตกยอดแล้ว เพียงแต่บำรุงต้น พรวนดิน โดยเฉพาะในเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ผักชะอมจะมีราคาสูง คนเหนือนิยมชมชอบกันมาก นอกจากนี้ ก็มีหน่อไผ่หวานที่ออกหน่อหน้าแล้ง ก็จะมีรายได้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะตัดหน่อได้ 50 กิโลกรัม กิโลกรัมละ 20 บาท เท่ากับว่าจะมีรายได้ 2,000 บาท ต่อสัปดาห์

ในที่ดิน 9 ไร่ จะเห็นว่าสวนลุงทองดีมีรายได้ทั้งรายวัน รายเดือน รายปี ล้วนแต่เป็นพืชผัก ผลไม้ ที่มีราคา ประชาชนทั่วไปต้องกิน