สำออย ยี่สุ่นแซม ปลูกสับปะรด MD2 สร้างรายได้ไร่ละแสน ที่ระยอง

สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการค้ากำลังส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและผลผลิตเกษตรไทย ยังไม่ทันไรไวรัสโคโรนาหรือโควิด-19 จากประเทศจีนก็สร้างปัญหาและอุปสรรคใหญ่ที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งผลผลิตเกษตรของไทยไปตลาดประเทศจีน อีกทั้งเขย่าขวัญชาวโลกให้แตกตื่นหวาดผวา นอนตาไม่หลับไปตามๆ กัน หันมาดูวงการสับปะรดบ้านเรากันบ้าง ไม่รู้ว่าจะไปทิศทางไหน จะอยู่หรือจะไปตามสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ชาวไร่จะปรับตัวอย่างไรเพื่อให้สามารถคงอาชีพนี้ไว้ได้ ไม่เดือดร้อนจนเสียรังวัด หรือถึงกับต้องเลิกราจากอาชีพนี้กันไป ซึ่งสองสามปีที่ผ่านมาก็เจอปัญหาราคาตกต่ำมาก เลิกทำกันไปก็หลายราย แต่ถึงอย่างไรก็ดี ยังพอมีทางออก โดยต้องหาอะไรใหม่ๆ เข้ามาเติมเสริมการผลิตให้อยู่ได้ สายพันธุ์สับปะรด MD2 เริ่มเป็นที่รู้จักและยอมรับกันของคนไทย ตามไปดูกูรูผู้ผลิตสับปะรดพันธุ์นี้กันครับ

คลุมแปลงปลูกด้วยผ้าพลาสติก

ป้าสำออย ยี่สุ่นแซม ประธานวิสาหกิจชุมชนกลุ่มปุ๋ยอินทรีย์ก้าวหน้าบ้านชากผักกูด ตำบลนิคมพัฒนา อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง เป็นอีกหนึ่งชาวไร่สับปะรดที่ปรับเปลี่ยนความคิดมาพัฒนาการปลูกสับปะรดผลสดพันธุ์ MD2 ส่งขายแม่ค้า และออกร้านขายเองในงานต่างๆ ตามแต่โอกาส มีการเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติในแปลงโดยใส่ปุ๋ยอินทรีย์รองพื้น, คลุมแปลงปลูกด้วยผ้าพลาสติก, วางท่อระบบน้ำหยด, ฉีดพ่นปุ๋ยทางใบ และการคัดขนาดของหน่อแยกปลูกในแต่ละแปลง สร้างผลผลิตที่มีคุณภาพดี ผู้ค้ามารับซื้อที่ไร่ในราคาผลผลิตรวมไซซ์ที่กิโลกรัมละ 20-25 บาท แบบผูกขาดกันตลอดปีที่มีผลผลิตออกมา สร้างรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม กลายเป็นทางเลือกใหม่ที่สดใสกว่าการปลูกสับปะรดส่งขายโรงงาน นับเป็นเกษตรกรรุ่นใหญ่ที่มีความคิดทันสมัย กลายเป็นโมเดลการผลิตสับปะรดพันธุ์ MD2 ของชาวไร่สับปะรดได้อย่างน่าทึ่ง

เนื้อเหลืองทองสวยงาม

ป้าสำออย ให้ข้อมูลว่า หลังจากที่ราคาสับปะรดโรงงานตกต่ำมากและติดต่อกันหลายปี จึงได้ร่วมกับสมาชิกในหมู่บ้านผลิตปุ๋ยอินทรีย์และน้ำหมักชีวภาพแล้วทำตลาดออกขาย เพื่อหารายได้เข้ามาทดแทนอีกทางหนึ่ง เราพัฒนากันเรื่อยมา จนปัจจุบันมีลูกค้าเข้ามาสั่งซื้อกันไปมาก ซึ่งทางกลุ่มผลิตได้ไม่ทันกับความต้องการของลูกค้า เพราะปุ๋ยอินทรีย์และน้ำหมักชีวภาพของกลุ่มมีคุณภาพดี เป็นที่ยอมรับกันของลูกค้า และสมาชิกแต่ละคนก็ซื้อไปใช้ด้วยเช่นกัน ทั้งกับสวนผลไม้ พืชผัก มันสำปะหลัง ยางพารา และไร่สับปะรด เนื่องจากเห็นผลและลดต้นทุนได้มาก

ป้าสำออย ยี่สุ่นแซม กับ ผู้เขียน

ป้าสำออย  ปลูกสับปะรดพันธุ์ปัตตาเวียส่งโรงงานแปรรูปมาตลอดกว่า 20 ปีแล้ว ซึ่งแถบอำเภอนิคมพัฒนานี้ปลูกสับปะรดกันเกือบทุกบ้าน พืชอื่นก็เป็นมันสำปะหลัง ยางพารา และไม้ผลบ้าง ช่วงหลังนี้ทำสับปะรดมันลุ่มๆ ดอนๆ ไม่แน่นอนอะไร แนวโน้มว่าจะลงทุนมากขึ้นทุกที ราคาสับปะรดโรงงานก็ไม่แน่นอน เสี่ยงต่อการขาดทุนมากเลย แต่ก็ต้องปลูกต่อไป อาศัยว่าเป็นพืชที่ทนแล้งได้ดี โรคแมลงมีน้อย และทำได้ง่ายกว่าพืชอื่นเลยยังพอทำได้ แต่ตอนนี้ได้ปรับพื้นที่มาปลูกพืชผักและไม้ประดับบ้าง พอได้เงินมาหมุนเวียน เพราะอายุเก็บเกี่ยวสั้น ปลูกได้หลายรอบในหนึ่งปี ต่อมาเมื่อมีสับปะรดพันธุ์ใหม่ คือพันธุ์ MD2 เข้ามาก็เริ่มรับรู้และสนใจ เพราะเป็นสับปะรดที่ต่างประเทศปลูกขายกันมาก เป็นที่นิยมของผู้บริโภค และเริ่มเป็นที่รู้จักของคนไทย พอดีทางสำนักงานเกษตรจังหวัดระยองจัดทำโครงการส่งเสริมการปลูกสับปะรดพันธุ์นี้ จึงได้ไปซื้อหน่อพันธุ์มาปลูกจำนวนหนึ่ง เป็นการทดลองปลูก ได้เรียนรู้และขยายพันธุ์ไปด้วย เป็นจุดเริ่มต้นไปพร้อมกับชาวไร่อีกหลายคนที่ปลูกสับปะรดพันธุ์นี้

วางท่อเมนระบบการให้น้ำ

ต้องยอมรับว่าสับปะรดพันธุ์ MD2 เป็นสับปะรดที่มีลักษณะเด่นกว่าพันธุ์ปัตตาเวียหลายด้าน มีลำต้นแข็งแรง การเจริญเติบโตดี ที่เด่นมากคือ เนื้อสีเหลืองทองตลอดผล มีกลิ่นหอมมาก รสชาติหวานอมเปรี้ยวนิดๆ ผลเป็นรูปทรงกระบอกไหล่เต็ม ตอบสนองต่อปุ๋ยดีมาก แบบที่เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนหลังจากได้รับปุ๋ย ใบจะเขียวเข้ม ใบสั้นกว้าง และหนา น้ำหนักของผลอยู่ระหว่าง 1.2-2.2 กิโลกรัม ผลขนาดใหญ่น้ำหนักสูงสุดถึง 3 กิโลกรัม ได้เหมือนกัน จัดว่าเป็นสับปะรดผลใหญ่ อีกอย่างที่เด่นชัดคือ บังคับการออกดอกได้ง่ายมาก แค่หยอด/ฉีดสารเร่งดอก/ฮอร์โมน (แคลเซียมคาร์ไบด์/อีทีฟอน) แค่ครั้งเดียวสับปะรดพันธุ์นี้ก็ออกดอกเกือบทุกต้น ทำให้เราประหยัดเวลาและต้นทุนไปได้อีกทางหนึ่ง

ด้านการปฏิบัติในแปลงปลูกนั้น ได้ปรับมาปลูกแบบยกแปลงกว้าง 1 เมตร โดยเมื่อยกแปลงแล้วใส่ปุ๋ยอินทรีย์ลงไปคลุกเคล้ากลบลงในดิน วางสายยางให้น้ำระบบน้ำหยดผ่านกลางแปลงไปตามยาวระหว่างแถวสับปะรด แล้วคลุมด้วยพลาสติกดำที่เจาะรูระยะปลูกไว้ด้านริมแปลงทั้งสองด้านเพื่อปลูกสับปะรดเป็น 2 แถว โดยให้ระยะแถวสับปะรดห่างกัน 60 เซนติเมตร ระยะปลูกระหว่างต้นห่างกัน 30 เซนติเมตร และระยะห่างของแต่ละแปลงอยู่ที่ 80-100 เซนติเมตร ซึ่งปลูกสับปะรดได้ 6,500-7,000 ต้น ต่อไร่ เป็นจำนวนต้นที่พอดีที่จะได้ขนาดและทรงผลสับปะรดที่โตสม่ำเสมอ ได้คุณภาพตามที่ผู้ค้าต้องการ ช่วงแรกที่จะทำการปลูกนั้นต้องมีการคัดแยกหน่อและจุกออกตามขนาดต่างๆ โดยหน่อคัดแยกเป็น 3 ขนาด คือหน่อใหญ่ หน่อกลาง และหน่อเล็ก ส่วนจุกแยกเป็น 2 ขนาด คือจุกใหญ่และเล็ก เพื่อนำไปปลูกแบบแยกกันในแต่ละแปลง สับปะรดแต่ละแปลงจะเจริญเติบโตอย่างสม่ำเสมอมาก ง่ายต่อการจัดการในกิจกรรมอื่นต่อไป

แปลงที่ปลูกด้วยหน่อและจุก เจริญเติบโตดีแม้ช่วงฤดูแล้ง

การดูแลบำรุงต้นสับปะรด มีเรื่องการให้ปุ๋ย ให้น้ำ การป้องกันและกำจัดหญ้า การฉีดฮอร์โมนเร่งการออกดอก คลุมผลป้องกันแสงแดด และเก็บเกี่ยวผลผลิต สำหรับปุ๋ยที่ใช้กับสับปะรดนั้นมี 3 รูปแบบ คือ ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ใส่รองพื้นช่วงเตรียมแปลง โดยประมาณว่าในพื้นที่ปลูก 1 ไร่ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ลงไปเฉพาะบนแปลงปลูกสัก 1-2 ตัน, พอสับปะรดเริ่มตั้งตัวราว 2-3 เดือนให้ใส่ปุ๋ยเม็ด เป็นปุ๋ยผสมระหว่างปุ๋ยสูตร 21-0-0 กับสูตร 0-0-60 และสูตร 18-4-6 อัตราการผสม 2 : 1 : 1/2 ส่วน (100 กิโลกรัม : 50 กิโลกรัม : 25 กิโลกรัม) ใส่ต้นละ 1 ช้อนกลาง (10 กรัม) ที่กาบใบล่าง, ครั้งที่ 2 ใส่ปุ๋ยผสมสูตรเดิมอีกครั้งเมื่อสับปะรดอายุ 5-6 เดือนโดยใส่ที่กาบใบล่าง, พอสับปะรดอายุได้ 7-8 เดือน (ก่อนบังคับการออกดอก) ฉีดปุ๋ยทางใบ 2 ครั้ง คือก่อนบังคับดอก 30 วัน และก่อนบังคับดอก 7 วัน เป็นปุ๋ยละลายน้ำ ใช้ปุ๋ยสูตร 13-13-21 จำนวน 3 กิโลกรัม ผสมน้ำ 200 ลิตร ฉีดพ่นเข้าทรงพุ่มสับปะรดต้นละ 80-100 ซีซี จนเมื่อสับปะรดออกดอกไปได้ประมาณ 90 วัน เข้าระยะดอกแห้งจึงฉีดปุ๋ยเพิ่มความหวานให้สับปะรด โดยใช้ปุ๋ยสูตร 0-0-50 จำนวน 3 กิโลกรัม ผสมน้ำ 200 ลิตร ฉีดพ่นลงในทรงพุ่มต้นละ 100 ซีซี เป็นการให้ปุ๋ยครั้งสุดท้ายในรอบการผลิตของรุ่นนั้น

ท่อแยกบนแปลงปลูก

สำหรับการให้น้ำนั้น ใช้การปล่อยน้ำไปตามท่อยางเทปแบนที่เจาะรูตามระยะปลูกของต้นสับปะรด เป็นระบบน้ำหยด ให้น้ำเดือนละ 2 ครั้งไปพร้อมกับปุ๋ยน้ำชีวภาพที่ได้จากการหมักปลาและผลไม้ ให้น้ำในอัตราที่พอเหมาะ โดยดูว่าดินในแปลงปลูกสับปะรดมีความชื้นเพียงพอกับความต้องการของสับปะรด เพราะผ้าพลาสติกคลุมแปลงจะช่วยป้องกันการระเหยของน้ำได้ดี ดินจะเก็บความชื้นไว้ได้นานกว่าแบบแปลงโล่งทั่วไป สับปะรดจึงเจริญเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ย่นระยะเวลาการบังคับให้ออกดอกได้เร็วกว่าการปลูกแบบเดิมถึง 2 เดือน ด้านการควบคุมหญ้านั้น ที่ไร่ใช้สารไดยูรอนผสมกับไฮวาร์เอกซ์ ผสมกันตามอัตราข้างฉลาก ฉีดพ่นหลังการปลูกสับปะรดไปแล้ว ฉีดพ่นเฉพาะทางเดินระหว่างแปลงปลูกเพียงครั้งเดียว ส่วนหญ้าที่ขึ้นภายหลังนั้นมีไม่มาก ใช้การถากด้วยจอบและใช้มือถอนทิ้งไป

การบังคับการออกดอก การปลูกสับปะรดด้วยวิธีนี้ เมื่อสับปะรดอายุได้ 6-7 เดือน ต้นสับปะรดจะโตสมบูรณ์ดีมาก ได้น้ำหนักมาตรฐาน ซึ่งสามารถหยอด/ฉีดฮอร์โมนเร่งให้ต้นสับปะรดออกดอกได้เร็วขึ้น โดยใช้สารอีทีฟอน (ชื่อการค้าอีเทรล) ผสมกับปุ๋ยยูเรีย ใช้สารอีเทรล 80-100 ซีซี ปุ๋ยยูเรีย 300 กรัม ละลายกับน้ำ 200 ลิตร ตักหยอดหรือฉีดลงในยอดสับปะรดต้นละ 70-80 ซีซี ทำการหยอด/ฉีดฮอร์โมนเร่งออกดอก 2 ครั้ง ห่างกัน 3-5 วัน การเร่งการออกดอกจะทำช่วงตอนเย็นหรือกลางคืน จะออกดิกดีมาก หลังจากนั้น ให้น้ำปกติ ซึ่งจากวันที่เราทำการหยอดหรือฉีดฮอร์โมนเร่งดอกไปได้ประมาณ 45 วัน ดอกสับปะรดสีแดงจะโผล่ขึ้นมาจากส่วนยอดของต้นสับปะรด พออายุดอกสับปะรดได้ 80-90 วันเป็นระยะดอกแห้ง เราจึงฉีดปุ๋ยเพิ่มความหวานสูตร 0-0-50 ให้สับปะรดอีกครั้ง ตามขั้นตอนการของการให้ปุ๋ยที่ได้กล่าวไปแล้วในช่วงต้น

ผลรูปทรงกระบอก

การคลุมผลสับปะรดมีความจำเป็นมาก เพราะช่วงเดือนมีนาคม-มิถุนายน แสงแดดเข้มมาก อากาศร้อนจัด จึงต้องหาวัสดุมาปกคลุม/ห่อผลสับปะรดเอาไว้ เพื่อป้องกันแสงแดดที่จะทำความเสียหายส่วนเปลือกสับปะรดได้ จึงต้องมีการห่อผลสับปะรดเมื่ออายุผลได้ 100-120 วันหลังจากวันหยอดฮอร์โมน จะใช้หญ้าแห้ง ฟางข้าว กระดาษหนังสือพิมพ์เก่า หรือซาแรนกรองแสงคลุมแปลงไว้เลยก็ได้ เพื่อช่วยป้องกันผิวเปลือกสับปะรดไหม้/เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ซึ่งทำให้เสียคุณภาพ ราคาตก และอาจขายไม่ได้ เป็นความเสี่ยงที่จะสูญเสียรายได้ไปในช่วงนี้

การเก็บเกี่ยวผลผลิต สับปะรดพันธุ์ MD2 เริ่มสุกและเก็บผลผลิตได้หลังการหยอด/ฉีดฮอร์โมน ไปแล้วประมาณ 135 วัน สุกเร็วกว่าพันธุ์ปัตตาเวีย 15-20 วัน ช่วงที่สับปะรดสุกเราเดินเข้าแปลงจะได้กลิ่นหอมมาก เราสังเกตดูที่ตา (ผลย่อย) ที่เปลี่ยนเป็นสีเหลือง เริ่มจากตาที่อยู่ท้ายผล (ส่วนล่างที่ติดกับก้านผล) ที่ไร่นี้เก็บสับปะรดสุกมีผิวเปลือกออกสีเหลืองตั้งแต่ครึ่งของผล (ความสุกที่ 50 เปอร์เซ็นต์) ขึ้นไปถึงสุกเหลืองตลอดผล สังเกตว่าสับปะรดผลเล็กและผลขนาดกลางรสชาติจะดีมาก เนื้อจะนุ่มละเอียดและอร่อยมาก เลือกเก็บเกี่ยวผลผลิตที่มีความสุกที่ 70-80 เปอร์เซ็นต์ของผล สับปะรดพันธุ์นี้มีรสชาติหวานนำอมเปรี้ยวนิดหน่อย เป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภค ช่วงสับปะรดสุกแม่ค้าจะไปตัดที่สวน เราให้เขาเลือกตัดผลสับปะรดที่สุกได้ระดับเท่านั้น เพราะต้องการรักษาคุณภาพเอาไว้ คนซื้อจะได้รับประทานแต่ของคุณภาพดี ที่สวนขายเหมาเป็นกิโลกรัม ตัดสับปะรดแบบติดก้านยาวสัก 2 นิ้วและติดจุกไปด้วย เราจึงได้น้ำหนักเพิ่มขึ้นมาอีก แม่ค้าบอกว่ามีเท่าไรเขาจองหมดตลอดปี ส่วนแม่ค้าจะเอาไปขายเป็นลูกหรือปอกแบ่งลงถุงก็ว่ากันไป เขาพอมีกำไรและอยู่ได้ ซึ่งตอนนี้ผู้บริโภคเริ่มรู้จักและชอบสับปะรดพันธุ์ MD2 กันมากขึ้น ความต้องการเพิ่มขึ้น แต่เราผลิตให้ไม่ได้ ต้องใช้เวลาในการขยายหน่อพันธุ์และพื้นที่ปลูกเพิ่ม ค่อยๆ ทำไปเดี๋ยวมันจะมีมากขึ้นเอง

คลุมผลป้องกันแสงแดด

ตอนนี้ตลาดผลสดตอบรับดีมาก จากที่เริ่มปลูกมา 3-4 ปี ช่วงแรกไปออกร้านในงานที่ทางจังหวัดจัดขึ้น โดยปอกขายถุงละ 35 บาท ขายเป็นลูกกิโลกรัมละ 35 บาท หรือขายแบบหยวนไป 3 กิโลกรัม 100 บาท ลูกค้าติดใจกันมาก แป๊บเดียวขายหมดเกลี้ยง ถามหากันใหญ่เลย มาช่วงหลังนี้ไม่ได้ไปออกร้านขายเองแล้ว เพราะมีพ่อค้า/แม่ค้ามารับซื้อที่ไร่ โดยเขาจะเข้าไปตัดสับปะรดเอง ขายแบบเหมาคละขนาดกัน ราคาก็กิโลกรัมละ 20-25 บาท ตามแต่ช่วงผลผลิตที่มีมากหรือน้อย และต้องดูว่าเข้าช่วงฤดูกาลผลไม้อื่นๆ ด้วย ราคาจึงยืดหยุ่นกันไปเพื่อจะค้าขายอยู่กันนานๆ เมื่อก่อนแบ่งหน่อขายไปบ้าง หน่อละ 15 บาท ตอนนี้เร่งขยายพื้นที่ปลูกไปอีก ทั้งจุกและหน่อที่มีเอามาลงปลูกหมด และได้ซื้อหน่อมาเพิ่มเติมตามแผนการผลิตที่กำหนดไว้แล้ว ประมาณว่ารอบการตัดผลผลิตให้ได้ที่รุ่นละ 500-1,000 ลูก ก็พออยู่ได้แล้ว เพราะมีกิจกรรมอื่นอีกหลายอย่างที่ต้องทำควบคู่กันไปด้วย

ผลผลิตคุณภาพดี เป็นที่ต้องการของลูกค้า

ป้าสำออย ทิ้งท้ายอย่างมั่นใจว่า สับปะรด MD2 เป็นทางเลือกให้ชาวไร่ได้แน่นอน เพราะการปลูกและดูแลรักษาไม่ยุ่งยากอะไร เพียงเรียนรู้เพิ่มเติมด้านเทคนิคการผลิตแบบผลสดที่เน้นคุณภาพ โดยเฉพาะความหวานที่ต้องหวานกว่าสับปะรดส่งโรงงาน จุดหลักๆ คือการให้น้ำและปุ๋ยตามความเหมาะสมในช่วงการเจริญเติบโต การปฏิบัติระยะการออกดอกพัฒนาเป็นผล และระยะก่อนเก็บเกี่ยว เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีขนาด/รูปทรงที่สวยงามตามลักษณะพันธุ์ ความหวานที่ควรจะไม่ต่ำกว่า 15 บริกซ์ แต่ปกติสับปะรดพันธุ์นี้ความหวาน กลิ่นหอมและรูปทรงผลจะโดดเด่นอยู่แล้ว จึงไม่ค่อยกังวลอะไรมากนัก ซึ่งขนาดของผลสับปะรดที่นิยมของลูกค้าจะอยู่ที่น้ำหนัก 1.2-1.5 กิโลกรัม ต่อผล จะขายดีมาก เฉลี่ยผลละ 40-60 บาท ลูกค้ารับได้เพราะมีความรู้สึกว่าไม่แพง และปัจจุบันคนไทยเป็นครอบครัวขนาดเล็กจึงรับประทานได้หมดในครั้งเดียว สำหรับสับปะรดผลใหญ่น้ำหนัก 1.6-2 กิโลกรัม ขายเป็นผลได้ยากกว่า แต่แม่ค้าปอกขายจะชอบมาก เพราะปอกแล้วหั่นได้ชิ้นใหญ่และได้หลายชิ้น เป็นส่วนที่เขาทำกำไรได้เพิ่มขึ้น สำหรับสับปะรดส่งโรงงานจะลดพื้นที่ลงไป และอาจจะเลิกปลูกในที่สุด เพื่อเปลี่ยนมาปลูกสับปะรดผลสดทั้งหมด เพราะยังมีสับปะรดผลสดพันธุ์ใหม่ๆ ที่มีคุณภาพดีอีก 2 พันธุ์ คือ พันธุ์ทองระยองและพันธุ์ภูชวา ที่ลูกค้ามีความต้องการมากเช่นกัน

ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยชีวภาพใช้ลดต้นทุนการผลิต

สับปะรดพันธุ์ MD2 เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของชาวไร่สับปะรดไทยรุ่นใหม่ และชาวไร่กลุ่มก้าวหน้า ซึ่งปัจจุบันมีการขยายพื้นที่การผลิตเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ดูว่าจะไปได้ช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน ตรงนี้เป็นเพราะราคา/ต้นทุนของหน่อพันธุ์ยังค่อนข้างสูง แหล่งผลิตหน่อพันธุ์ยังมีอยู่ไม่มาก และข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับสับปะรด MD2 ถูกนำเสนอสู่สาธารณะน้อยมาก อย่างไรก็ดี กรณีของป้าสำออย เป็นอีกตัวอย่างของชาวไร่อาวุโสที่มีความคิดก้าวหน้า หยิบคว้าพันธุ์ใหม่ๆ มาพัฒนาต่อยอด อาศัยประสบการณ์เดิมแล้วเพิ่มเติม

ด้วยนวัตกรรมพันธุ์ MD2 ก้าวข้ามระบบการผลิตแบบเก่าไปได้อย่างฉลุย ลุยนำหน้าไปแล้วหลายช่วงตัว ที่สุดก็จะเลิกราสายโรงงานไปได้ กอบโกยรายได้ไร่ละเป็นแสน ฝากมาบอกแฟนๆ สมาชิกชาวไร่สับปะรดว่า ลองเปลี่ยนเส้นทางผลิตมาเป็นพันธุ์นี้กันดูบ้าง เพื่อเปิดทางสร้างรายได้เข้ากระเป๋า เพราะยาวไปมีแต่ได้มากกว่าผลิตสับปะรดส่งโรงงาน ซึ่งยินดีที่จะถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ และยังเปิดให้เข้าศึกษาดูงานแปลงผลิตสับปะรด MD2 ได้ทุกวัน เพียงแต่ประสานและติดต่อกันไปที่เบอร์โทร. (089) 930-2547 ยินดีต้อนรับทุกท่าน สำหรับคนสายสับปะรดหากมีโอกาสไประยอง ขอเชิญแวะชม ชิม ช็อป สับปะรดคุณภาพดีพันธุ์ MD2 ที่สวนป้าสำออย ยี่สุ่นแซม กันนะครับ