ลิ้นจี่ เชียงราย ปลูกมากว่า 40 ปี รสชาติดี อุปสรรคแค่ความเย็น

ปลายเดือนพฤษภาคมต่อเนื่องไปเดือนมิถุนายน เป็นช่วงฤดูของไม้ผลสีแดงออกสู่ตลาด รสชาติดี มีหลายสายพันธุ์ แต่ละพื้นที่ปลูกจะมีความโดดเด่นของรสชาติที่แตกต่างกัน ว่ากันว่า ผลไม้ชนิดนี้ชอบสภาพอากาศหนาวเย็น จึงจะให้ผลผลิตดี เช่นที่จังหวัดเชียงราย เกษตรกรที่นำลิ้นจี่เข้ามาปลูกเมื่อ 40 กว่าปีก่อน ก็เพราะเห็นว่า ราคาดีและสภาพภูมิอากาศมีความเหมาะสม

คุณบัวขาว ขันจันทร์แสง

ที่ตำบลนางแล อำเภอเมือง ขณะที่สับปะรดนางแลและภูแล ได้รับความนิยมค่อนข้างสูง คุณบัวขาว ขันจันทร์แสง ไม่ได้ปลูกสับปะรดเหมือนเกษตรกรทั่วไป แต่เป็นเกษตรกรรายที่ยังคงปลูกลิ้นจี่อยู่จนถึงปัจจุบัน และนำลิ้นจี่เข้ามาปลูกในพื้นที่จังหวัดเชียงรายเป็นรายแรกๆ

“ปี 2518 เป็นปีแรกที่นำลิ้นจี่เข้ามาปลูก เพราะยุคนั้นราคาลิ้นจี่ค่อนข้างสูง จึงนำพันธุ์มาจากทางอำเภอแม่สาย และสภาพอากาศมีความเย็นต่อเนื่องเหมาะสมดี นำกิ่งพันธุ์มาปลูกบนพื้นที่ 4 ไร่ จากนั้นขยายพันธุ์จากกิ่งพันธุ์ที่เจริญเติบโตเอง แล้วนำไปปลูกเพิ่มบนพื้นที่อีกแปลง ทั้งหมด 15 ไร่”

ใต้ลำต้นต้องไม่มีวัชพืช

สายพันธุ์ที่คุณบัวขาว นำมาปลูกมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ ได้แก่ ฮงฮวย โอวเฮียะ จักรพรรดิ์ และกิมเจ็ง

พันธุ์ฮงฮวย เป็นพันธุ์ที่เจริญเติบโตเร็ว ออกดอกออกผลง่าย ลำต้นสีน้ำตาลอมเทาและบิดเวียนซ้ายเป็นคลื่นยาวๆ ซึ่งเป็นลักษณะประจำพันธุ์นี้ ช่วงข้อบนกิ่งห่าง ยอดอ่อนมีสีเขียวอมแดงจางๆ ทรงพุ่มรูปไข่และลำต้นค่อนข้างสูง ใบยาวรี โคนใบกว้าง ริมใบบิดเป็นคลื่น ปลายใบไม่ค่อยแหลม ใบมี 3-4 คู่ ผลออกเป็นช่อยาว ลักษณะผลทรงยาวรีคล้ายรูปไข่ เปลือกสีแดงอมชมพู รสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย การให้ผลดกและค่อนข้างสม่ำเสมอไม่ค่อยเว้นปี แต่ข้อเสียของลิ้นจี่พันธุ์ฮงฮวยคือ เมล็ดมีขนาดค่อนข้างใหญ่ เปลือกบางช้ำง่าย และขั้วผลบางทำให้ผลร่วงง่าย

ลิ้นจี่คัดคุณภาพ รอตัดแต่งเข้ากล่องและตะกร้า

พันธุ์โอวเฮียะ เป็นพันธุ์ที่ชอบอากาศหนาวและความชื้นในดินสูง ลำต้นมีสีน้ำตาลแดงมักเป็นตะปุ่มตะป่ำ ง่ามกิ่งเป็นมุมแคบกว่าพันธุ์ฮงฮวย ยอดอ่อนมีสีแดงเข้ม ทรงพุ่มเกือบจะกลม ใบสีเขียวเข้มเป็นมันเกือบดำ มีใบ 2-3 คู่ โคนใบและปลายใบเรียวแหลม หากพับครึ่งจะทับกันพอดี ลักษณะของผลคล้ายรูปหัวใจ เปลือกสีแดงคล้ำ เปลือกเปราะ รสหวาน เนื้อหนา เมล็ดมีขนาดเล็ก ข้อเสียของพันธุ์นี้คือ ง่ามกิ่งเป็นมุมแคบ เพราะมุมยิ่งแคบกิ่งยิ่งฉีกง่าย

พันธุ์กิมเจ็ง เป็นพันธุ์ที่ชอบอากาศเย็นจัด การเจริญเติบโตช้า ทรงพุ่มเตี้ยจนเกือบแบน มีส่วนกว้างมากกว่าส่วนสูง มีระยะของลำต้นจากพื้นดินถึงพุ่มสั้นมาก ลำต้นไม่บิด ข้อของกิ่งก้านสั้นมาก มีกิ่งเล็กๆ มาก ใบมีลักษณะเป็นรูปไข่ มีขนาดสั้นและแคบ มีใบ 1-3 คู่ ยอดอ่อนมีสีใกล้เคียงกับพันธุ์โอวเฮียะ แต่ออกเป็นสีแดงซีดหรือสีชมพู ช่อไม่ใหญ่แต่สั้น ลักษณะผลค่อนข้างกลม การติดผลค่อนข้างยาก

ลูกโต ได้ราคาดี

พันธุ์จักรพรรดิ์ ผลโตมาก ออกดอกประมาณเดือนมกราคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ผลแก่ปลายเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม ขนาดผลกว้าง 4.4 เซนติเมตร ยาว 4.2 เซนติเมตร ผลหนัก 40-50 กรัม หนามไม่แหลม เปลือกหนา เมื่อแก่จัดสีชมพูแดง เนื้อผลหนา 1.1 เซนติเมตร เนื้อมีน้ำค่อนข้างมาก รสดีพอใช้ ความหวานประมาณ 18 เปอร์เซ็นต์

ทั้ง 4 ชนิดที่คุณบัวขาวเลือกสายพันธุ์มาปลูก ก็เพราะเป็นพันธุ์ที่เหมาะกับสภาพอากาศเย็น จึงเหมาะสำหรับการปลูกในพื้นที่ภาคเหนือ โดยปกติแล้วลิ้นจี่ก็มีการแบ่งสายพันธุ์ที่เหมาะสำหรับการปลูกในภาคเหนือและภาคกลางเอาไว้

อีกประมาณ 45 วันจากนี้ เก็บผลผลิตได้

ระยะปลูกสำหรับลิ้นจี่ คือ 6×6 เมตร สำหรับพื้นราบ ส่วนบริเวณที่เป็นเนินเขา ระยะถี่มากขึ้นได้ เพราะเนินจะทำให้พุ่มต้นเหลื่อม จึงไม่มีปัญหาทรงพุ่มชิดกัน

การปลูกลิ้นจี่ ควรลงปลูกในช่วงเข้าสู่ฤดูฝน ให้เตรียมดินให้พร้อมหลังฝนแรกลง แล้วลงปลูกโดยไม่ต้องรดน้ำ ช่วงเข้าสู่ฤดูฝนจะเป็นช่วงที่ไม่ต้องรดน้ำและให้ธรรมชาติดูแลต้นลิ้นจี่เล็กไปก่อน เมื่อเข้าสู่ปีถัดไปของการปลูก ช่วงฤดูแล้งไม่จำเป็นต้องให้น้ำ ยกเว้นแล้งมากก็ให้น้ำบ้างนิดหน่อย และเตรียมปุ๋ยให้เมื่อเริ่มเข้าสู่ฤดูฝน 1 ครั้ง จากนั้นให้ปุ๋ยอีกครั้ง 3 เดือนถัดมา

ราวต้นมกราคม ลิ้นจี่จะเตรียมพร้อมแทงช่อดอก ยกเว้นฝนลงจะส่งผลให้ช่อดอกที่แทงออกมาไม่ติดผล แต่เปลี่ยนเป็นใบแทน

หากติดดอกดี ผลผลิตก็จะดีตาม แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ คุณบัวขาว บอกว่า ลิ้นจี่จะติดผลผลิตดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศหนาวหรือเย็น ต้องมีสภาพอากาศหนาวหรือเย็นติดต่อกัน 100 ชั่วโมง หรือ 4-5 วันต่อเนื่อง ถ้าระยะเวลาอากาศหนาวหรือเย็นไม่ถึงตามนี้ ลิ้นจี่ก็ไม่ติดผล อาจจะมีพันธุ์ฮงฮวยที่ติดผลผลิตบ้าง เพราะเป็นพันธุ์เบา สภาพอากาศไม่ถึงกับหนาวก็ยังให้ผลผลิตอยู่ ส่วนพันธุ์จักรพรรดิ์ เป็นพันธุ์หนัก ถ้าอากาศไม่หนาวหรือเย็นติดต่อกันตามระยะเวลาที่กล่าวไว้ ก็ไม่ติดผลผลิตเลย ซึ่งการบังคับให้ลิ้นจี่ติดผลไม่สามารถทำได้

หลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตทุกครั้ง ต้องตัดแต่งกิ่งและให้ปุ๋ย

คุณบัวขาว พยายามให้ปุ๋ยหมักจากแกลบและขี้วัวที่หมักเอง พยายามเลี่ยงปุ๋ยเคมี เพื่อให้ดินได้รับสารอินทรีย์ หน้าดินไม่แน่นจนเกินไป และต้องตัดแต่งกิ่งให้ลิ้นจี่ทุกครั้งหลังเก็บเกี่ยวผลผลิต และให้ปุ๋ยอีกครั้งประมาณต้นเดือนมีนาคมที่ลิ้นจี่ติดผลขนาดเท่าหัวไม้ขีด

การให้ปุ๋ย ให้หว่านไปรอบทรงพุ่ม ระวังไม่ให้เกิดวัชพืชใต้ต้น เพราะจะมีผลต่อการเจริญเติบโตของลิ้นจี่

“ช่วงที่ผลผลิตลิ้นจี่เก็บเกี่ยวได้คือ ต้นเดือนมิถุนายน ราวปลายเดือนมิถุนายนก็ใส่ปุ๋ยรอบทรงพุ่ม และตัดแต่งกิ่งได้ เท่ากับ 1 ปี ให้ปุ๋ย 2 ครั้งเท่านั้น”

การให้น้ำ สวนลิ้นจี่ของคุณบัวขาว ดูที่สภาพดินเป็นหลัก หากช่วงแล้วก็ให้น้ำ 5 วัน ต่อครั้ง ครั้งละ 1 ชั่วโมง แต่ถ้าสภาพดินไม่แล้งจนเกินไป ก็ไม่จำเป็นต้องให้

โรคและแมลงศัตรูพืช โดยปกติลิ้นจี่เป็นพืชที่ทนทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืช คุณบัวขาว บอกว่า ตลอดระยะเวลาที่ปลูกลิ้นจี่มากว่า 40 ปี พบแมลงศัตรูพืชไม่มาก ส่วนใหญ่ใช้สมุนไพรหมักฉีดพ่นก็กำจัดออกไปได้

ผลผลิตลิ้นจี่แต่ละต้น ปัจจุบันสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไป อากาศหนาวต่อเนื่องตามระยะเวลาที่ลิ้นจี่ควรให้ผลลดลง ทำให้ลิ้นจี่ไม่ติดผล หรือติดผลน้อยในพันธุ์เบาอย่างพันธุ์ฮงฮวย แต่ปริมาณผลผลิตที่ได้อย่างน้อย 50-60 กิโลกรัม ต่อต้น

ปลายเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนมิถุนายน เป็นช่วงที่ลิ้นจี่ให้ผลผลิตมากที่สุด แต่เมื่อผลผลิตเก็บจำหน่ายได้ ไม่นานก็ขายหมด เพราะความต้องการลิ้นจี่ในตลาดมีสูง

“ช่วงฤดูกาลที่มีผลผลิต ต้องตื่นมาเก็บลิ้นจี่เวลา 6 โมงเช้า และมีพ่อค้าแม่ค้าเข้ามารับถึงสวน 9 โมงเช้า ราคาขายหน้าสวนกิโลกรัมละ 60 บาท แต่ถ้าคัดลิ้นจี่คุณภาพลงกล่อง ราคากิโลกรัมละ 700-800 บาท หลังเก็บลิ้นจี่มาแล้วต้องมีแรงงานสำหรับคัดผล ใน 1 ฤดูกาล ใช้แรงงาน 5 คน สำหรับให้ปุ๋ย รดน้ำ เก็บผลผลิตและคัดผล”

สวนลิ้นจี่ของคุณบัวขาว ถือเป็นสวนใหญ่และผลิตลิ้นจี่คุณภาพที่ดีที่สุดในจังหวัดเชียงราย หากสนใจกิ่งพันธุ์หรือลิ้นจี่ตามฤดูกาล ทั้ง 4 สายพันธุ์ ติดต่อได้ที่ คุณบัวขาว ขันจันทร์แสง หมู่ที่ 7 บ้านนางแลใน ตำบลนางแล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย หรือโทรศัพท์สอบถามกันก่อนได้ที่ (087) 179-0905 ได้ตลอดเวลา