“แสงพศิน เมล่อนฟาร์ม” รุก ปลูก “บัตเตอร์นัต” ขายผ่านโซเชียล

การปลูกพืชเชิงเดี่ยวซ้ำเป็นเวลานาน คืออีกหนึ่งปัจจัยทำให้สภาพดินเสื่อมโทรม ผลผลิตที่ได้จะมีคุณภาพด้อยลงไปตามระยะเวลา “แสงพศิน เมล่อนฟาร์ม/ไร่ปาริชาติ” เป็นฟาร์มปลูกเมล่อนอีกแห่งหนึ่งที่ประสบปัญหาดังกล่าวอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เพราะสภาพดินทำให้เกิดโรคในต้นเมล่อน จนต้องปรับเปลี่ยน นำ “บัตเตอร์นัต” เข้ามาปลูก

“นาวิน ลิ้มมณีประเสริฐ” เจ้าของแสงพศิน เมล่อนฟาร์ม/ไร่ปาริชาติ จากบ้านจำปาทอง ต.หนองปลาปาก อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย บอกว่า ก่อนหน้านี้เคยปลูกเมล่อนในโรงเรือน พอปลูกบนพื้นที่เดิมเป็นเวลานานๆ ผลผลิตเริ่มมีปัญหา จึงทดลองนำ “บัตเตอร์นัต” มาปลูกสลับ หรือเรียกว่าการเปลี่ยนแปลงพืชที่ปลูกในโรงเรือน หลังจากปลูกครั้งแรกและครั้งที่สอง ถัดมาพบว่าได้ผลผลิตที่ดี การปลูกและการดูแลไม่ยุ่งยากเท่ากับการปลูกเมล่อน ที่สำคัญไม่ได้ใช้ยาฆ่าแมลงเลย ต่างจากเมล่อนที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด

“เมล็ดพันธุ์บัตเตอร์นัต ได้มาจากน้องที่ปลูกมาก่อน โดยนำมาปลูกครั้งแรก จำนวน 100 เมล็ด จากนั้นได้คัดสายพันธุ์ และเพิ่มพื้นที่ปลูก ซึ่งบัตเตอร์นัตมีหลายสายพันธุ์ แต่ภายในฟาร์มมี 2 สายพันธุ์ แตกต่างกันที่รูปร่าง แต่ทำลวดลายเหมือนเมล่อนไม่ได้ ล่าสุดมีการปลูกรวมทั้งหมด จำนวน 4 โรงเรือนแล้ว ซึ่งผลผลิตที่ได้ถือว่าค่อนข้างดี ที่สำคัญ ไม่เหนื่อยมากในการดูแล มีเวลาว่างที่จะทำอย่างอื่นได้อีก”

สำหรับระยะเวลาในการปลูกบัตเตอร์นัตและปลูกเมล่อนจนให้ผลผลิตใกล้เคียงกัน คือประมาณ 90-95 วัน สามารถนำไปปรุงเป็นอาหารทั้งคาวและหวานได้หลากหลายชนิด ตลาดของบัตเตอร์นัตและตลาดของเมล่อนไม่แตกต่างกัน แต่บัตเตอร์นัตดูคล้ายกับฟักทอง ชาวบ้านในจังหวัดหนองคายนิยมในการบริโภคฟักทองอยู่แล้ว เมื่อทดลองนำบัตเตอร์นัตไปปรุงเป็นอาหารรับประทาน ให้รสชาติความหวานและเนื้อแน่นกว่าฟักทองปกติทั่วไป จึงทำให้สามารถขายผลผลิตที่หน้าฟาร์มได้เลย บางส่วนที่ไม่ผ่านการคัดเกรดจะนำไปแปรรูปเป็นน้ำบัตเตอร์นัตขายโดยกลุ่มวิสาหกิจชุมชน นอกจากนี้ ยังได้ขายผ่านโซเชียลจนขยายตลาดได้ไกลถึงจังหวัดกาญจนบุรี

“นาวิน” บอกว่า เมล่อนในฟาร์ม ขายกิโลกรัมละ 80-100 บาท ส่วนบัตเตอร์นัตขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 80 บาท เมล่อนให้ผลผลิต 1 ต้น ต่อ 1 ลูก บัตเตอร์นัต 1 ต้น จะให้ 2-3 ลูก ซึ่งจะมีการคัดเกรดเช่นเดียวกันกับเมล่อน เกรดเอ จะมีลักษณะของสวยอวบ น้ำหนักไม่ต่ำกว่า 0.5 กก. เฉลี่ยรายได้จากการขายแล้วจึงถือว่าใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ หากต้นบัตเตอร์นัตมีความสมบูรณ์แข็งแรงจะให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น ผลอ่อนที่ออกมาเพิ่มสามารถนำไปปรุงอาหารได้อีก ส่วนราคาผลอ่อนหรือผลที่ไม่ผ่านการคัดจะถูกลงจากผลปกติ คือ อยู่ที่กิโลกรัมละ 50 บาท

ปัจจุบัน แสงพศิน เมล่อนฟาร์ม/ไร่ปาริชาติ ยังคงปลูกเมล่อนอยู่ สลับกับโรงเรือนใหม่ปลูกบัตเตอร์นัต และการปลูกในโรงเรือนจะดูแลได้ง่ายกว่าการปลูกนอกโรงเรือน ปัญหาโรคแมลงน้อย การทำระบบน้ำง่าย สามารถทำระบบให้น้ำอัตโนมัติหรือกึ่งอัตโนมัติได้ เมื่อถึงช่วงเวลาที่ต้องใส่ปุ๋ยจะใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยอินทรีย์ที่ทำเองเป็นหลัก ซึ่งบัตเตอร์นัตเป็นพืชที่ใช้น้ำไม่มาก ยิ่งปลูกในโรงเรือนและมีการใช้พลาสติกคลุมดินยิ่งใช้น้ำน้อย แม้อากาศภายนอกจะร้อนมาก แต่ภายในโรงเรือนจะยังคงมีความชื้นอยู่ ซึ่งการให้น้ำ จะใช้ 200-300 ลิตร ต่อโรงเรือนทุกวัน โดยเฉพาะในช่วงที่ต้นบัตเตอร์นัตกำลังเจริญเติบโตแตกยอด ใน 1 โรงเรือน จะมีบัตเตอร์นัตอยู่ประมาณ 230 ต้น มากกว่าเมล่อนที่ 1 โรงเรือน จะปลูก 175-198 ต้น บัตเตอร์นัต 1 ต้น ให้ผลผลิต ต้นละ 2-3 ลูก น้ำหนักรวมไม่ต่ำกว่า 2 กก.

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์