ตะลุยสวนออร์แกนิก สัมผัสวิถีเกษตรกรอินทรีย์

จากการเปิดเผยข้อมูลของเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช หรือ Thai-PAN เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ถึงผลการสุ่มตรวจหาสารเคมีตกค้างในผักและผลไม้อินทรีย์ หลายรายการพบสารเคมีตกค้างที่สูงเกินค่ามาตรฐานกำหนด ข้อมูลนี้สร้างความตื่นตัวให้กับผู้บริโภคและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างมาก

และเมื่อค่ามาตรฐานความปลอดภัย ถูกลดระดับความน่าเชื่อถือ พฤติกรรมการเลือกซื้อของผู้บริโภคก็เปลี่ยนไปด้วย ก่อนหยิบจับสินค้าใส่ตะกร้าต้องสืบค้นหาข้อมูลให้รู้ชัด มาจากแหล่งไหน รูปแบบการปลูกเป็นอย่างไร มีวิธีการตรวจสอบไหม ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ ทางมูลนิธิสังคมสุขใจ หนึ่งในหน่วยงานที่ขับเคลื่อนวิถีเกษตรอินทรีย์มาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้โครงการ สามพรานโมเดล จึงจัดทริปพิเศษ พาลูกค้าตลาดสุขใจสัญจร ที่สนใจในเรื่องเกษตรอินทรีย์ ทั้งพนักงานธนาคารไทยพาณิชย์ สื่อมวลชน และภาคเอกชน อย่าง บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ลงพื้นที่จังหวัดราชบุรี และนครปฐม ไปพบคนต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ของเกษตรอินทรีย์ ภายใต้กิจกรรม “Shop สุขใจพาเที่ยวสวน” ครั้งที่ 2 ขึ้น เพื่อสัมผัสวิถีชีวิต แนวคิด และการเอาใจใส่ดูแลผลผลิตของเกษตรระบบอินทรีย์

2

ความพิเศษของทริปนี้ เป็นการขยายเรื่องราวเกษตรอินทรีย์ที่มากกว่าเรื่องของพืชผัก ผลไม้ แต่เป็นการลงไปดูวิธีการเลี้ยงหมูหลุมอินทรีย์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดูการทำสวนเกษตรผสมผสานที่ไม่ต้องพึ่งพาสารเคมี ไปลิ้มรสชาติอาหารอินทรีย์สดจากไร่ ในบรรยากาศกลางสวนด้วยเมนูพิเศษ ทั้งก๋วยเตี๋ยวหมูหลุมอินทรีย์ สลัดอินทรีย์ น้ำปั่นผักอินทรีย์เพื่อสุขภาพ เป็นต้น อีกทั้งการเดินทางในครั้งนี้ใช้รถที่เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม ที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด นั่นคือ นิสสัน เอ็กซ์ เทรล ไฮบริด

คุณอรุษ นวราช เลขาธิการมูลนิธิสังคมสุขใจ ในฐานะผู้ริเริ่มและดำเนินโครงการสามพรานโมเดล กล่าวถึงกิจกรรม “Shop สุขใจพาเที่ยวสวน” ว่า เป็นหนึ่งแผนงานที่สำคัญของโครงการ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ซึ่งเป็นคนปลายน้ำให้มาเจอกับคนต้นน้ำ ได้เห็นกระบวนการคิด การพัฒนาแปลงปลูก ความเอาใจใส่ของเกษตรกร เห็นแหล่งที่มาอาหารของเขา แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่จากภาพการพูดคุย การซักถามในเชิงลึกของลูกค้า ความสนใจของสื่อมวลชนเกี่ยวกับกระบวนการพัฒนา ความเพียรพยายามลองผิดลองถูก ในการพึ่งพาตนเอง หลังลดและเลิกการใช้เคมี มั่นใจว่าจะทำให้เกิดแรงบันดาลใจ ทั้งผู้บริโภคและสื่อมวลชน จะเห็นความสำคัญของการเลือกอาหารปลอดภัยมากขึ้น ขณะที่เกษตรกรเองก็จะตระหนักถึงการสะสมองค์ความรู้ เพื่อการพัฒนาต่อไป

สำหรับทริปนี้เป็นการคัดเลือกลูกค้าตลาดสุขใจสัญจร ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ ที่ร่วมทำแบบสอบถามของโครงการ และได้คะแนนสูงสุด 10 ลำดับแรก พร้อมเพื่อน 1 คน เข้าร่วมกิจกรรม โดยกำหนดออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าตรู่ของวันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน 2559 ที่ผ่านมา ด้วยขบวนรถยนต์นิสสัน รุ่น เอ็กซ์ เทรล ไฮบริด มุ่งหน้าสู่จังหวัดราชบุรี ตามเส้นทาง “Shop สุขใจพาเที่ยวสวน” ครั้งที่ 2

 

มารู้จัก หมูหลุมอินทรีย์  

จุดหมายแรก แวะกันที่ ศูนย์สร้างสุขเกษตรชนบทตำบลดอนแร่ พูดคุยถึงที่มาที่ไป รวมถึงการขับเคลื่อนโครงการสามพรานโมเดล กับ คุณอรุษ นวราช ก่อนไปทำความรู้จักกับ คุณสุพจน์ สิงห์โตศรี เจ้าของฟาร์มหมูหลุมอินทรีย์และผลิตภัณฑ์หมูหลุมอินทรีย์ แบรนด์ G-PORK

จุดนี้หลายคนถึงกับแปลกใจไม่น้อย เพราะไม่คิดว่าฟาร์มหมูขนาดใหญ่ที่เลี้ยงหมูกว่า 300 ตัว แต่กลับไม่มีกลิ่นขี้หมู หรือแมลงวันมากวนใจแม้แต่น้อย ซึ่งได้รับคำอธิบายจาก คุณสุพจน์ ว่า

หมูหลุมอินทรีย์ คือหมูที่เลี้ยงแบบธรรมชาติ ใช้วิธีขุดหลุม รองพื้นคอกด้วยแกลบ ใช้จุลินทรีย์ที่หมักจากวัสดุธรรมชาติราดทับ และใช้ผสมน้ำให้หมูกิน เพื่อช่วยขจัดกลิ่น อาหารที่หมูกินก็มีส่วนผสมของวัตถุดิบธรรมชาติในท้องถิ่น ซึ่งการเลี้ยงแบบนี้ไม่ต้องมีน้ำเสียจากการล้างคอก ตัดวงจรแมลงวัน ทำให้หมูอารมณ์ดี สร้างภูมิคุ้มกันได้เองโดยไม่ต้องใช้วัคซีนหรือยาปฏิชีวนะใดๆ เนื้อหมูที่ได้มีคุณภาพดี ไม่มีกลิ่นคาว และไม่ส่งกลิ่นรบกวนด้วย ซึ่งต่างจากการเลี้ยงหมูทั่วไป ที่หมูต้องใช้ชีวิตอยู่ในคอกปูน ต้องทนร้อน แถมยังต้องสูดดมกลิ่นไนโตรเจนของมูลตัวเอง ตลอด 120 วัน ทำให้ปอดเป็นจุด ป่วยง่าย จึงต้องฉีดวัคซีนและยาปฏิชีวนะ

“หมูที่ถูกเลี้ยงในฟาร์มปิด เมื่อผ่าซากดูจะเจอจุดที่เรียกว่า จุดวิกาฬในตับและปอด สิ่งที่บ่งบอกกลิ่นเหม็น แต่ในหมูหลุมหายไป 6 เท่า หากเทียบกับหมูในระบบฟาร์ม และจะไม่มีจุดวิกาฬ ปอดและตับ จึงใสสะอาด เมื่อหมูคุณภาพดี ก็จะทำให้ขายได้ราคาดีกว่าหมูทั่วไปกิโลกรัมละ 20 บาท ขณะที่แกลบรองพื้นกลายเป็นปุ๋ยคอกชั้นดี เพราะมีค่าไนโตรเจนและฟอสฟอรัสสูงกว่าระบบฟาร์มหมูทั่วถึง 4 เท่า สร้างรายได้อีกทางหนึ่งด้วย ปัจจุบันผมมีหมู 300 ตัว เลี้ยงในระบบหมูหลุมทั้งหมด โดยผลผลิตที่ได้ส่งขายโรงเรียนปัญโญไทย ตลาดสุขใจ และในห้างสรรพสินค้าทั่วไป ภายใต้แบรนด์ G-Pok” คุณสุพจน์ ให้ข้อมูล

 

พบคนต้นน้ำ @ ไร่รวงข้าว       

ออกจากฟาร์มหมูหลุมมุ่งหน้าสู่ไร่รวงข้าว ตำบลน้ำพุ ทำความรู้จักกับ คุณป้าลำพึง ศรีสาหร่าย หญิงแกร่งร่างเล็กในวัยกว่า 50 ปี ที่กลับใจจากเคมี หันมาพลิกฟื้นผืนดิน 15 ไร่ ที่เคยผ่านการทำเกษตรกรรมเคมีจนทำให้หน้าดินเสีย ให้คืนกลับมาอุดมสมบูรณ์และเขียวขจีไปด้วยสวนป่าและพืชผักผสมผสาน อาทิ แครอต ไชเท้า คะน้า กวางตุ้ง ผักสลัด มันญี่ปุ่น ต้นหม่อน กล้วย มะม่วง เป็นต้น

คุณป้าลำพึง หนึ่งในเกษตรกรคนต้นน้ำ เล่าถึงจิตวิญญาณและความตั้งใจของคนทำเกษตรอินทรีย์ ให้กับคนปลายน้ำฟังว่า คนที่ทำเกษตรอินทรีย์ต้องมีใจรัก ขยัน และอดทน ทนเหนื่อย ทนร้อน เพราะทุกอย่างต้องลงมือทำด้วยตัวเอง ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด อย่างวัชพืชบางชนิดต้องถอนด้วยมือ เพราะเราไม่ใช้สารเคมี น้ำหมัก ปุ๋ยหมักต่างๆ เราก็ทำเองทั้งหมด แต่ป้าก็มีความสุขที่ได้ทำอาชีพนี้ ได้ผลิตอาหารดีๆ ให้คนอื่นได้กิน เราเองก็ได้กินของดีๆ ด้วย และขอตั้งปณิธานกับตัวเองไว้ว่า จะเกิดสักกี่ชาติก็จะขอเป็นเกษตรกรอินทรีย์ เดินตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะไม่เอาเปรียบใคร จะไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เพราะสิ่งค้นพบคือความสุขที่ยั่งยืน

ที่ไร่รวงข้าว นอกจากได้ฟังเสียงสะท้อนจากหัวใจที่กล้าแกร่งในการยืนหยัดทำเกษตรอินทรีย์ให้ทุกคนได้มีสุขภาพดี คุณป้าลำพึงยังนำคณะเจ้าหน้าที่และผู้ร่วมกิจกรรมไปชมแปลงปลูก พร้อมอธิบายถึงวิธีการปลูก การดูแลให้น้ำ ให้ปุ๋ย รวมถึงการทำปุ๋ย น้ำหมักต่างๆ ขณะเดียวกัน ยังได้เห็นภาพการทำงานของเกษตรกร สองมือที่กำลังถอนหญ้าในแปลงอย่างเอาใจใส่ สะท้อนถึงความตั้งใจจริงในการผลิตอาหารอินทรีย์ให้ผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ยิ่งได้ลิ้มชิมรสผักสลัดที่คุณป้าลำพึงเก็บสดๆ จากสวน จัดเตรียมไว้ต้อนรับ ก็ทำให้ทุกคนสัมผัสได้ถึงความต่างของเกษตรอินทรีย์ได้โดยไม่ต้องอธิบายให้มากความ

ด้าน คุณพรประไพ เสือเขียว หนึ่งในผู้ร่วมกิจกรรมและเป็นลูกค้าประจำของตลาดสุขใจ บอกว่า โดยปกติเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพอยู่แล้ว เวลาเลือกซื้ออาหารออร์แกนิก ก็จะถามแม่ค้าหรือดูตรารับรองมาตรฐานความปลอดภัยทุกครั้ง เพราะเราไม่รู้แหล่งที่มา กิจกรรมนี้ถือว่าดีมากๆ อย่างน้อยเราเองได้มารู้จักคนปลูก ได้เห็นกระบวนการผลิตในพื้นที่จริง รู้ได้ถึงความยากลำบากของเกษตรกร ที่กว่าจะผลิตอาหารอินทรีย์ออกมาให้เราได้บริโภค แถมยังได้เกร็ดความรู้ในการเลือกซื้ออาหารปลอดภัยโดยเฉพาะเนื้อหมู ที่เราไม่เคยรู้ข้อมูลมาก่อน ถือเป็นหนึ่งวันที่คุ้มค่าและได้ประโยชน์อย่างมาก

จากการลงพื้นที่ด้วยตัวเอง เห็นการทำงานของเกษตรกรอินทรีย์ ได้ชิมรสชาติเกษตรอินทรีย์แท้ๆ ความตระหนักและความเชื่อมั่นในโครงการสามพรานโมเดล จึงทำให้การเดินทางมาตลาดสุขใจ ในสวนสามพราน จุดแวะสุดท้ายของเส้นทางในวันนี้ จึงมีความมั่นใจที่จะเลือกชิม เลือกช็อป พืชผัก ผลไม้ เกษตรอินทรีย์ แบบไร้กังวล

“ยังมีคนปลายน้ำอีกมากมายที่ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ ในฐานะคนกลางน้ำ ก็จะต้องหาทางน้ำ คนต้นน้ำ และปลายน้ำ มาเจอกันอีกอย่างต่อเนื่อง เพราะสิบปากว่า ยังไงก็ไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็น ก็ยังไม่เท่าได้ลงพื้นที่มาสัมผัสด้วยตนเอง” คุณอรุษ กล่าวทิ้งท้าย