อดีตครูที่โคราช ทำสวน ปลูกพืชผักสมุนไพร แก้เหงาหลังเกษียณ ลงทุนไม่มาก ทำได้ไม่ยาก

การดำรงชีวิตในวัยหลังเกษียณ จำเป็นต้องมีการวางแผน มีการเตรียมพร้อมล่วงหน้า เพราะรู้ดีว่าวันนั้นคงมาถึง แต่มีหลายคนยังคงวางเฉยเพราะรู้ดีว่าอาจมีลูกหลานดูแล จึงมุ่งดำเนินชีวิตเพื่อจะใช้เวลาที่เหลือสำหรับพักผ่อน เพราะลูกหลานไม่ต้องการให้ทำงานอีกต่อไป

สำหรับคนที่วางแผนชีวิตหลังเกษียณไว้อย่างรอบคอบ ย่อมทำให้ชีวิตไม่สะดุด ไม่เป็นภาระแก่ลูกหลาน คนเหล่านี้จึงเตรียมตัวกันตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วยการถามตัวเองตลอดเวลาว่า ชอบอะไร ต่อไปในอนาคตจะทำอะไร

สำหรับ คุณฐิตินันท์ หะมาน ลูกย่าโมที่เพิ่งหยุดอาชีพแม่พิมพ์อย่างถาวรเมื่อปี 2557 จึงเลือกที่จะปลูกพืชผักแล้วทำสวนครัวอยู่กับบ้านสำหรับรับประทานเองอย่างปลอดภัยในบั้นปลายชีวิต

คุณฐิตินันท์เป็นอดีตครูโรงเรียนวัดสว่างอารมณ์ จังหวัดนครราชสีมา จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากวิทยาลัยครูนครราชสีมา ก่อนจะสอบบรรจุครูครั้งแรกที่อำเภอพิมาย ต่อมาย้ายไปเป็นครู 1-2 แห่ง จนกระทั่งมาสอนประจำที่โรงเรียนวัดสว่างอารมณ์เป็นแห่งสุดท้ายก่อนเกษียณอายุราชการ

“ครูปุ๊” เป็นชื่อเล่นของคุณฐิตินันท์ที่คุ้นเคยกันในกลุ่มครูและหมู่นักเรียน โดยมีอายุราชการในฐานะครูมาตลาด 38 ปี ทั้งเป็นช่วงเวลาที่ต้องสอนและคลุกคลีเฉพาะเด็กชั้นประถม 1 มาตลอด ต้องสอนทั้งหมด 8 สาระวิชา จนเกษียณอายุเมื่อปี 2557 ตำแหน่งล่าสุดคือ ครูชำนาญการพิเศษ 2 (คศ.2)

 

หลังเกษียณต้องการอยู่บ้าน ปลูกพืชผักสมุนไพรพื้นบ้านปลอดสารพิษ

ภายหลังเกษียณ ครูปุ๊ตั้งใจว่าจะมาปลูกผักไว้รับประทานเองภายในครอบครัวเพราะต้องการบริโภคผักที่ปลอดภัย อีกทั้งน้องสาวป่วยเป็นมะเร็ง ทางคุณหมอจึงแนะนำให้บริโภคผักปลอดสารพิษ ทำให้เธอมองหาพืชหลายชนิดที่มีประโยชน์ด้านสมุนไพรพื้นบ้าน

ผักกาดและคะน้า
ผักกาดและคะน้า

ด้วยเหตุนี้ บนเนื้อที่กว่า 1 ไร่ เลขที่ 182 หมู่ 4 ตำบลหมื่นไวย อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นบ้านของเธอ จึงออกแบบปลูกพืชผักสวนครัวไว้รอบบ้านอย่างเป็นระเบียบ ได้แก่ ตะไคร้ ใบมะกรูด พริก มะนาว ข่า ใบย่านาง ขนุน กะเพรา ผักหวานป่า ดอกขจร มะละกอ เป็นต้น แล้วยังมีโรงเรือนเห็ดนางฟ้าขนาด 3 คูณ 2 เมตร อยู่ในบริเวณเดียวกัน

 

ปลูกแล้วทานไม่ทันเลยแจก แล้วตั้งวางหน้าบ้านให้คนใส่เงินทำบุญ

จากการเริ่มต้นเพียงเพื่อใช้บริโภคในครอบครัว พืชผักเหล่านี้กลับเจริญเติบโตงอกงามจนบริโภคไม่ทัน คุณฐิตินันท์จึงนำไปแจกญาติและเพื่อนบ้าน กระนั้นก็ยังคงมีผลผลิตออกมาอีกเรื่อยๆ จนทำให้เพื่อนบ้านรับเป็นธุระนำไปขายที่ตลาด

f b

ด้วยความเกรงใจ คุณฐิตินันท์จึงนำพืชผักที่พร้อมให้ผลผลิตมาใส่ถุงแยกเป็นชนิดแล้ววางไว้บนโต๊ะหน้าบ้านที่อยู่ติดถนนพร้อมร่มกันแดดแล้วเขียนป้ายบอกว่า “ผักไร้สาร ถุงละ 10 บาท” ใครต้องการผักชนิดใดก็ให้นำเงินใส่ไว้ในกระปุกตามต้องการ และทุกสิ้นเดือนจะเปิดกระปุกแล้วนำเงินไปทำบุญที่วัด

 

ลงทุนไม่มาก บางอย่างได้มาฟรีจากชุมชน

การปลูกพืชผักเหล่านี้ต้องใช้เงินลงทุน ครูปุ๊เผยว่าสิ่งที่ต้องซื้อได้แก่ ขี้วัว แกลบ เมล็ดพันธุ์ ทั้งนี้ มะนาวได้พันธุ์มาฟรีจำนวน 21 ต้น เพราะเข้าร่วมโครงการกับทางชุมชน ถึงกระนั้นก็ต้องใช้เงินลงทุนมากกว่าพืชชนิดอื่นไม่ว่าจะเป็นวงบ่อซีเมนต์ หรือปุ๋ยและยา

ครูปุ๊ในสวนมะนาว
ครูปุ๊ในสวนมะนาว

“ตอนแรกที่ลงทุนอาจจะใช้เงินมากเพราะถือว่าเพิ่งเริ่ม ดังนั้นสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้ซื้อเป็นพวกอุปกรณ์เครื่องมือทำสวน แต่หลังจากนั้นจะใช้น้อยลง คงเหลือเป็นค่าวัสดุปลูก ดิน ปุ๋ย ยา ซึ่งจากการบันทึกไว้เฉลี่ยเดือนละประมาณ 2 พันบาท และจะลดลงจากจำนวนดังกล่าวเมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่ง แต่บางอย่าง เช่น ปุ๋ยอินทรีย์ไม่ต้องเสียเงินซื้อ เพราะได้รับแจกจากทางชุมชน”

 

ไม่เคยผ่านงานเกษตรกรรมมาเลย พอลงมือครั้งแรก ล้าเหมือนกัน

พื้นฐานครอบครัวครูปุ๊ไม่เคยผ่านการทำเกษตรกรรมมาก่อน อีกทั้งระหว่างรับราชการก็ไม่เคยสนใจงานเกษตร เพิ่งมาจับจอบเสียมครั้งแรกหลังเกษียณอายุราชการนี้เอง ครูปุ๊จึงขอความรู้และทักษะการปลูกพืชผักจากเพื่อนบ้านหลายคนที่มีประสบการณ์และความชำนาญ ขณะที่บางชนิดอาจต้องพึ่งพาความรู้จากอินเตอร์เน็ต

เธอเล่าย้อนถึงครั้งเริ่มลงมือทำสวนครัวว่า เป็นครั้งแรกที่จับเครื่องมือทางการเกษตรแบบเป็นทางการ พอลงมือทำก็เกิดอาการกล้ามเนื้อล้า ถ้าเหนื่อยตอนไหนจะพัก ไม่โหม แต่พอนานไปอาการเหล่านั้นก็ค่อยๆ หายไปเอง ตอนนี้ไม่เป็นอะไรเลยเพราะร่างกายปรับตัวได้แล้ว

ต้นยอดสามสิบ
ต้นยอดสามสิบ

“ทำแล้วสนุกและมีความสุขมาก เข้าสวนทุกวัน ถ้าวันใดหยุดทำจะรู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป เราจะมีความสุขกับการคอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงของพืชแต่ละชนิดที่เป็นผลงานจากมือของเราค่อยๆ เจริญเติบโต แตกกิ่งก้านใบอ่อนออกมา เมื่อเห็นแล้วมีความสุข หายเหนื่อย และคิดว่าจะทำไปเรื่อยๆ จนไม่ไหวเอง คงอีกนาน เพราะการทำสวนทำให้เรามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง มีสภาพจิตที่สมบูรณ์ ไม่ต้องไปคิดเรื่องอื่นๆ นอกจากการปลูกต้นไม้ ไม่เครียด ยิ่งได้เหงื่อ ยิ่งสนุก”

กิจวัตรประจำวันของครูปุ๊เริ่มจากตื่นเช้าทำกับข้าวให้ลูกรับประทานพร้อมกับนำไปที่ทำงานด้วย จากนั้นลงสวนครัวเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของพืชแต่ละอย่างว่าควรต้องทำอะไร อาจใส่ปุ๋ยต้นไม้ เช่น ปุ๋ยอินทรีย์นำมาใช้รดและฉีดพ่นใบ ทำสัปดาห์ละครั้ง พอแดดเริ่มออกจะเข้าบ้านเพื่อนทำงานบ้าน ช่วงบ่ายหลังรับประทานอาหารเที่ยง พักผ่อนดูโทรทัศน์รายการโปรด ตกบ่ายก็จะเข้าสวนอีกครั้งเพื่อรดน้ำต้นไม้

 

ต้มน้ำใบย่านางบรรจุขวด แล้วพับดอกกุหลาบจากใบเตยขายในราคาถูกสุดๆ

ใบย่านางที่ปลูกไว้เจริญเติบโตดีมาก ครูปุ๊เห็นว่าพืชสมุนไพรพื้นบ้านชนิดนี้มีประโยชน์ จึงนำมาแปรรูปทำ “น้ำย่านาง” ดื่มกันในครอบครัว แล้วยังแจกจ่ายญาติกับเพื่อนบ้าน จนหลายคนชมว่าอร่อยและมีประโยชน์ ก่อนจะเชียร์ให้ทำขาย เธอจึงต้มขายเฉพาะตามออเดอร์เท่านั้น โดยบรรจุใส่ขวดพลาสติกขนาดเล็กขาย ราคาขวดละ 10 บาท ถ้าซื้อครั้งเดียว 6 ขวด เหลือ 50 บาท เธอขายดีมากจนทำให้มีรายได้สัปดาห์ละ 200-300 บาท ซึ่งเงินลงทุน ได้แก่ ค่าน้ำตาล ใบเตย (เล็กน้อย) และค่าขวดพลาสติก เมื่อคำนวณต้นทุนแล้ว ตกขวดละ 2 บาทกว่า

ผลิตภัณฑ์บ้านโพนสูงน้ำย่านางเพื่อสุขภาพครูปุ๊
ผลิตภัณฑ์บ้านโพนสูงน้ำย่านางเพื่อสุขภาพครูปุ๊

อีกกิจกรรมงานยามว่างที่ครูปุ๊ถนัดแล้วทำเป็นรายได้เสริม คือการพับดอกกุหลาบจากใบเตย ทำเป็นดอกและช่อกุหลาบขาย ช่อละ 10 บาท จะทำทุกสัปดาห์ โดยใช้เงินลงทุนสัปดาห์ละ 60 บาท จะขายได้ 170 บาท ทั้งนี้ งานพิเศษที่เป็นรายได้เสริมจะทำในช่วงบ่าย

คุณฐิตินันท์มีบุตรจำนวน 3 คน เรียนจบทั้งหมดแล้ว แต่งงานออกเรือนไป 1 คน ที่เหลือพักอยู่กับเธอ ทุกวันนี้มีรายได้หลักมาจากการรับเงินบำนาญเดือนละ 5 พันบาท ทั้งยังได้จากลูกๆ อีกเล็กน้อย เธอบอกว่าพอกินพอใช้ เพราะแต่ละวันมีค่าใช้จ่ายไม่มาก ไม่ได้ออกไปเที่ยว หากจะออกนอกบ้านมักเป็นการไปเที่ยวกับลูกในวันหยุด

ความจริงแล้ว เงินที่ได้จากการทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ได้มากมายเท่ากับความสุขและความภูมิใจ อีกทั้งมองว่าตัวเองยังมีคุณค่าเพราะทำประโยชน์ได้ ที่สำคัญก็คือ ได้ออกกำลังกายไปในตัว พร้อมกับสร้างความเพลิดเพลินให้แก่ชีวิตจิตใจ

“ทำอะไรก็ได้ที่ตัวเองรักและควรทำให้ดีที่สุด เพราะเวลาเหลือน้อยแล้ว ไม่ควรทำให้ตัวเองมีเวลาว่างจนต้องคิดสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ เสียเวลาไปเปล่าๆ ควรสร้างคุณค่าให้ตัวเองด้วยการหากิจกรรมทำ อะไรไม่เคยทำอย่าไปคิดว่าทำไม่ได้ ให้ลองศึกษาหาความรู้อย่างละเอียดดูเสียก่อน เพราะในปัจจุบันมีเทคโนโลยีทันสมัย อยู่ใกล้ตัวหาความรู้ได้ง่ายและสบาย เพียงแต่ทุกอย่างอยู่ที่ตัวคุณเท่านั้น…”