เกษตรกรเมืองเกินร้อย ทำมาหลายอาชีพ เริ่มจากรับราชการ รับเหมาก่อสร้าง แต่ดีที่สุดคือปลูกข้าวอินทรีย์

บิดา มารดา คุณอัษฎางค์ สีหาราช เป็นชาวไร่ชาวนาที่จังหวัดขอนแก่น ด้วยความยากลำบากของอาชีพเกษตรกรรมจึงต้องการให้ลูกชายหลุดพ้นจากวงจรความทุกข์ของชาวนาไทย เป็นเจ้าคนนายคน ซึ่งคุณอัษฎางค์ ก็ไม่ทำให้บิดา มารดา ผิดหวัง โดยสามารถเข้ารับราชการเป็นนักพัฒนาชุมชนได้ แต่ด้วยความที่คุณอัษฎางค์เป็นคนมีอุดมการณ์ของตนเอง มีความต้องการเป็นอิสระ ทำให้อยู่ในระบบราชการได้เพียง 5 ปี ต้องลาออกมาทำอาชีพรับเหมาก่อสร้าง เมื่อปี พ.ศ. 2540 เกิดปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ไม่สามารถทำอาชีพรับเหมาก่อสร้างเช่นเดิมได้ จึงเดินทางไปเริ่มเป็นเกษตรกรมือใหม่ที่ตำบลคอรุม อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นบ้านของภรรยา โดยเริ่มจากการปลูกข้าว หลังจากได้ลงมือปลูกข้าว คุณอัษฎางค์ พบว่า มีปัญหา 3 เรื่อง ที่เกษตรกรมักประสบ เรื่องแรกคือ ชาวนาต้องพึ่งพาปัจจัยจากภายนอกเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเรื่องน้ำมันและสารเคมี เรื่องที่สองคือ ภัยธรรมชาติ ภัยแล้ง กับแมลงระบาด และเรื่องที่สามคือ ราคา เมื่อนำข้าวไปขายเกษตรกรไม่สามารถเป็นผู้ตั้งราคาเองได้ รวมทั้งผลพวงจากโรคต่างๆ ที่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพของเกษตรกรและผู้บริโภค เมื่อเป็นเช่นนี้คุณอัษฎางค์จึงเลือกที่จะทำการเกษตรอินทรีย์ โดยเข้ารับการอบรมในเรื่องเกษตรอินทรีย์ เกษตรทางเลือกที่ดีจากที่ต่างๆ ศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ และนำมาปฏิบัติในพื้นที่ของตนเอง จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2548 คุณอัษฎางค์ได้รับการคัดเลือกเป็นคณะกรรมการผู้นำชุมชนแห่งชาติ คณะกรรมการชุดนี้เกิดขึ้นเพื่อผลักดันให้ปราชญ์ชาวบ้านเข้ามาทำงานร่วมกัน ช่วยแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรและเพื่อส่งเสริมการทำการเกษตรตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ทำการเกษตรแบบอินทรีย์ เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้ ไม่มีหนี้สิน มีการบิรหารจัดการอย่างพอดี มีความสุขที่แท้จริง ต่อมาคุณอัษฎางค์จึงได้ก่อตั้งศูนย์ฝึกอบรมเกษตรอินทรีย์-ชีวภาพขึ้น เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมเรียนรู้และนำไปปฏิบัติเพื่อลดต้นทุนการผลิตทางการเกษตร อีกทั้งยังหลุดพ้นจากปัญหา 3 เรื่อง ที่เกษตรกรมักจะประสบ ช่วยแก้ปัญหาสุขภาพของเกษตรกรและแก้ปัญหาความเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อมอันเกิดจากการใช้สารเคมีอีกด้วย

รูปแบบกิจกรรมทางการเกษตร

คุณอัษฎางค์ ได้ดำเนินกิจกรรมการเกษตรโดยมีความโดดเด่นในเรื่อง การปลูกข้าวอินทรีย์ เนื่องจากปัญหาสิ่งแวดล้อมและโรคร้ายที่คุกคามสุขภาพกายใจของมนุษย์อันเป็นผลพวงจากการทำการเกษตรแบบเคมี ถือเป็นจุดเริ่มต้นให้คุณอัษฎางค์หันกลับมาหาภูมิปัญญาพื้นบ้านที่สืบทอดกันมานาน คือ การทำเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นระบบการผลิตที่คำนึงถึงสภาพแวดล้อม รักษาสมดุลของธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีระบบการจัดการนิเวศวิทยาที่คล้ายคลึงกับธรรมชาติและหลีกเลี่ยงการใช้สารสังเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมี สารเคมีกำจัดศัตรูพืชและฮอร์โมนต่างๆ ตลอดจนไม่ใช้พืชหรือสัตว์ที่เกิดจากการตัดต่อทางพันธุกรรมซึ่งอาจสร้างมลพิษในสภาพแวดล้อม เน้นการใช้อินทรียวัตถุ เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด และปุ๋ยชีวภาพ ในการปรับปรุงบำรุงดินเพื่อให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ เพื่อให้ต้นพืชมีความแข็งแรง สามารถต้านทานโรคและแมลงด้วยตนเอง รวมถึงการนำเอาภูมิปัญญาชาวบ้านมาใช้ประโยชน์ ดังนั้น ผลผลิตที่ได้จะปลอดภัยจากสารพิษตกค้าง ทำให้ปลอดภัยทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค รวมทั้งไม่ทำให้สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรมด้วย ซึ่งผลผลิตข้าวอินทรีย์ของคุณอัษฎางค์นั้น ได้เชื่อมโยงทั้งการผลิตและการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ OTOP ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนศูนย์ข้าวชุมชนตำบลคอรุม จังหวัดอุตรดิตถ์ จากเดิมเกษตรกรในชุมชนส่วนใหญ่ใช้สารเคมีในการเพาะปลูก ทำให้ต้นทุนในการผลิตค่อนข้างสูงแต่ผลผลิตต่ำ จึงหาทางแก้ไขเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในชุมชนจนเกิดเป็นวิสาหกิจในชุมชน สามารถเลี้ยงชีพคนในชุมชนได้และเป็นชุมชนที่เข้มแข็งสามารถพึ่งพาตนเองได้ ตามแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นอกจากนี้ คุณอัษฎางค์ยังผลิตน้ำมันไบโอดีเซล หรือการใช้พลังงานทางเลือก ทำปุ๋ยแห้งและปุ๋ยน้ำชีวภาพ ทำน้ำยาอเนกประสงค์ ปลูกพืชผัก ไม้ผล และไม้บำนาญต่างๆ เพื่อไว้เข้าโครงการธนาคารต้นไม้ ในอดีตคนในชุมชนคอรุมได้ผ่านความยากลำบาก แต่ในปัจจุบันคุณอัษฎางค์ได้นำสิ่งดีกลับคืนสู่ชุมชนที่เขาอาศัยความเหนื่อยยากของคนในชุมชนหายไปเหลือแค่ผลลัพธ์ความสำเร็จให้ชื่นชม

 

ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่นำมาปฏิบัติ

คุณอัษฎางค์ได้ดำเนินชีวิตและประกอบอาชีพตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คือ ความพอประมาณ มีความเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะใช้หลัก ความมีเหตุผล คือ การพิจารณาที่จะดำเนินงานใดๆ ด้วยความถี่ถ้วน รอบคอบ ไม่ย่อท้อ ไร้อคติ คำนึงถึงเหตุและปัจจัยแวดล้อมทั้งหมด เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างถูกต้อง ดีงาม เกิดประสิทธิผล เกิดประโยชน์และความสุข โดยปราศจากการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น สามารถนำมาประยุกต์ให้เข้ากับการดำเนินกิจกรรมของตนเองได้ การทำเกษตรอินทรีย์ของคุณอัษฎางค์ เป็นการเกษตรที่ให้ความสำคัญกับการทำกิจกรรมทางการเกษตรเชิงสร้างสรรค์ เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศการเกษตรในไร่นา ดังนั้น การทำเกษตรอินทรีย์จึงจำเป็นต้องพัฒนาการเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติและการบริหารจัดการไร่นาของตนเองเพิ่มขึ้นด้วย ผลที่ตามมาก็คือเกษตรอินทรีย์เป็นแนวทางการเกษตรที่ตั้งอยู่บนกระบวนการแห่งการเรียนรู้และภูมิปัญญา เพราะเกษตรกรต้องสังเกต ศึกษา ค้นคว้า วิเคราะห์ สรุปบทเรียนเกี่ยวกับการทำการเกษตรของตนเอง ซึ่งจะมีเงื่อนไขทั้งทางกายภาพ เช่น ลักษณะของดินฟ้าอากาศ และภูมินิเวศ รวมถึงเศรษฐกิจและสังคมที่แตกต่างจากพื้นที่อื่นเพื่อพัฒนาแนวทางเกษตรอินทรีย์ที่เฉพาะและเหมาะสมกับพื้นที่ของตนเองอย่างแท้จริง นอกจากนี้ เกษตรอินทรีย์ยังให้ความสำคัญกับเกษตรกรผู้ผลิตและชุมชนท้องถิ่น สร้างความมั่นคงในการทำการเกษตรสำหรับเกษตรกร ตลอดจนอนุรักษ์และฟื้นฟูชีวิตของชุมชนเกษตรกรรม อาศัยกลไกธรรมชาติเพื่อทำการเกษตร ดังนั้น วิถีการผลิตเกษตรอินทรีย์จึงเป็นวิถีแห่งการเคารพและพึ่งพิงธรรมชาติ ซึ่งสอดคล้องกลมกลืนกับวิถีชีวิตของชุมชนเกษตรพื้นบ้านของสังคมไทย

Advertisement

ถามเพิ่มเติมได้ที่ คุณอัษฎางค์ สีหาราช 60/2 หมู่ที่ 2 ตำบลคอรุม อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ 53120   โทรศัพท์ (081) 887-7935