ผู้เขียน | ธาวิดา ศิริสัมพันธ์ |
---|---|
เผยแพร่ |
คุณชยุตม์ โตสำราญ อยู่ หมู่ที่ 2 ตำบลโพชนไก่ อำเภอบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี ยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์ นักเรียนรู้ พัฒนาสวนไม้ผลจากความรู้ติดลบ สู่สวนไม้ผลอินทรีย์ สร้างผลผลิตคุณภาพ ขายได้ราคาดี ด้วยต้นทุนเพียงหลักสิบ
คุณชยุตม์ โตสำราญ เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการเป็นเกษตรกรว่า ก่อนที่จะมาประกอบอาชีพเป็นเกษตรกร ตนเป็นพนักงานประจำของบริษัทญี่ปุ่นมาก่อน ส่วนจุดเปลี่ยนในการหันมาทำอาชีพเกษตรกรรมนั้น เกิดจากที่แม่ป่วยแล้วไม่มีใครดูแล จึงต้องตัดสินใจลาออกจากงานแล้วกลับมาดูแลแม่ ซึ่งในช่วงแรกที่กลับมาต้องยอมรับตรงๆ เลยว่า รู้สึกเคว้งคว้าง เพราะไม่ได้มีการเตรียมตัวหางานรองรับไว้ล่วงหน้า จนบังเอิญได้ไปเจอหนังสือโครงการพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ 9 ก็ได้ลองหยิบมาอ่านจนเกิดแรงบันดาลใจและเริ่มมองเห็นอนาคตว่าจะเดินไปต่ออย่างไร ซึ่งอนาคตที่มองเห็นนั้นคือ การทำเกษตร ที่ถือเป็นการสร้างแหล่งอาหารขั้นต้น ประจวบเหมาะกับที่บ้านมีพื้นที่ว่างอยู่ 3 ไร่ จึงตัดสินใจทดลองทำเกษตรตั้งแต่นั้นมา
โดยเริ่มต้นจากการทดลองปลูกฝรั่ง จำนวน 30 ต้น ด้วยพื้นฐานความรู้ด้านการเกษตรเป็นศูนย์ รู้เพียงแค่ว่าปลูกแล้วต้องดูแลรดน้ำ ส่วนการดูแลใส่ปุ๋ย หรือการกำจัดโรคแมลงนั้นไม่มีเลย ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็เป็นไปตามคาด คือปลูกแล้วไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะโดนแมลงศัตรูพืชเล่นงาน นี่จึงเป็นประสบการณ์ล้มเหลวครั้งแรกของการทำเกษตร แต่ก็ยังไม่หมดความพยายามไว้แค่นี้ เพียงแค่ต้องหยุดพักการปลูกไว้ก่อน แล้วกลับมาตั้งหลักใหม่ ด้วยการเข้าหาหน่วยงานราชการ เข้าไปขอคำปรึกษาจากเกษตรอำเภอ และแจ้งความจำนงกับทางเจ้าหน้าที่ไว้ว่า หากมีการจัดอบรมที่เกี่ยวกับการปลูกพืชอย่างปลอดภัย การทำสารชีวภัณฑ์ การทำปุ๋ยหมักไว้ใช้เอง การจัดการระบบน้ำในแปลง รวมถึงการเรียนรู้การจัดการดิน รบกวนให้ทางเจ้าหน้าที่แจ้งให้ทราบ เพื่อที่จะเข้าอบรมนำความรู้ที่ได้มาพัฒนา เริ่มปรับปรุงทำสวนใหม่ และหลังจากนั้นไม่นานเจ้าหน้าที่ก็ติดต่อมาว่า มีจัดอบรมในหัวข้อที่ต้องการเรียนรู้ แล้วนำกลับมาทำลองผิดลองถูกกว่า 3 ปี จนประสบผลสำเร็จกับการปลูกพืชผักผลไม้แบบอินทรีย์
“จากที่เคยปลูกฝรั่ง 30 ต้น ได้ผลผลิตไม่ถึง 10 กิโลกรัม ก็เริ่มได้ผลผลิตมากขึ้น เริ่มมีความรู้ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืชอย่างถูกต้อง ผลผลิตเพิ่มขึ้นจาก 10 เป็น 100 จนถึงปัจจุบันมีการขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มกว่า 200 ต้น และที่สำคัญสินค้าได้รับรองมาตรฐานสินค้าปลอดภัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” คุณชยุตม์ กล่าวถึงที่มาของความสำเร็จ
เผยเทคนิคปลูกฝรั่งกิมจูแบบอินทรีย์
ให้ได้ผลผลิตคุณภาพ ตรงใจลูกค้า
เจ้าของบอกว่า รูปแบบการทำเกษตรของตนนั้นทำในรูปแบบของเกษตรอินทรีย์ ปลูกพืชผสมผสานทั้งไม้ผลและพืชผักสลัด ในส่วนของไม้ผลเลือกปลูกมะละกอฮอลแลนด์ กล้วยหอม กล้วยไข่ ทุเรียน มังคุด เงาะ และมีฝรั่งกิมจู เป็นสินค้าเด่นของสวน แล้วใช้พื้นที่ว่างใต้ต้นไม้ผลชนิดอื่นๆ ปลูกผักสลัดแซมลงไป ถือเป็นการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ด้านเทคนิคการปลูกฝรั่งนั้น ก่อนปลูกต้องมีการวางแผนจัดสรรพื้นที่ก่อนปลูก เว้นระยะห่างที่พอเหมาะ มีการตัดแต่งกิ่ง แต่งคัดลูกก่อนห่อผล ด้วยวิธีการห่อแบบประณีต ผลผลิตออกมาจะได้คุณภาพ ตรงใจลูกค้า
ขั้นตอนการปลูก
โดยที่สวนจะเลือกปลูกฝรั่งกิมจูเป็นสายพันธุ์หลักเชิงการค้า และนอกจากนี้ยังปลูกสายพันธุ์อื่นๆ ไว้แซมบ้าง ทั้งไร้เมล็ด และฝรั่งสายพันธุ์โบราณ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ฝรั่งขี้นก เพื่อรักษาสายพันธุ์เก่าๆ ที่มากคุณค่าไว้ด้วย
การเตรียมดิน…เตรียมล่วงหน้าก่อนปลูก 7-14 วัน ด้วยวิธีการทำปุ๋ยพืชสดโดยการปล่อยหญ้าให้ขึ้นสูง ประมาณ 60-70 เซนติเมตร แล้วตัด จากนั้นใช้น้ำหมักที่เตรียมไว้รดบนหญ้าที่ตัดไว้ แล้วเปิดสปริงเกลอร์รดน้ำบนกองหญ้าและปุ๋ย เพื่อช่วยการย่อยสลาย อุ้มความชื้น และเพิ่มธาตุอาหารให้ต้นพืช ส่วนน้ำหมักที่นำมารดบนหญ้านั้นทำมาจากผลไม้ที่เกิดความเสียหายภายในสวนนำมาหมักเป็นปุ๋ยแล้วฉีดที่พื้นดินในอัตราที่เข้มข้น
เทคนิคการปลูก… เน้นขยายพันธุ์ด้วยวิธีการตอน โดยอาศัยการใช้เกสรของฝรั่งไร้เมล็ด เพื่อให้ได้จุดเด่นของฝรั่งไร้เมล็ดที่มีเมล็ดน้อย และรสชาติที่จัดจ้าน มาผสมกับสายพันธุ์ฝรั่งกิมจูที่มีรสชาติหวาน จนเกิดเป็นจุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร รสชาติหวานอมเปรี้ยว เมล็ดน้อย ผิวสวย เนื้อกรอบ
ระยะห่างระหว่างต้น… ใช้ระยะ 4×5 เมตร เป็นระยะห่างที่วางแผนไว้เผื่อตอนต้นฝรั่งโตขึ้น จะใช้พื้นที่ใต้ต้นปลูกแซมด้วยผักสลัดไว้สร้างรายได้เสริม ขุดหลุมลึกประมาณ 50 เซนติเมตร เปิดปากกว้างประมาณ 60 เซนติเมตร ลงต้นพันธุ์ปลูก กลบดินไปแค่ครึ่งหลุม เพราะตอนเริ่มปลูกครั้งแรกฝรั่งจะต้องการน้ำมากในการดูแล น้ำต้องโอบล้อมรอบๆ ต้นทั้งหมด
การดูแล… ดูแลด้วยปุ๋ยอินทรีย์ทั้งหมด ตั้งแต่การใช้น้ำหมัก นำเอาพืชผักที่มีสีเขียวมาหมักเพื่อช่วยเป็นตัวเร่งการเจริญเติบโต ฉีดให้ทางดิน สัปดาห์ละครั้ง เพื่อบำรุงฟื้นฟูดิน และต่อมาเป็นเรื่องของการฉีดพ่นปุ๋ยทางใบ จะใช้ปุ๋ยหมักจากผลไม้ ช่วยเสริมการเจริญเติบโตของพืชในส่วนของราก ดูแลการออกดอกและผล และช่วยเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้น ฉีดพ่นสัปดาห์ละครั้ง ส่วนข้อแตกต่างระหว่างปุ๋ยเคมีกับปุ๋ยอินทรีย์นั้น ผลลัพธ์จะตรงกันข้าม ถ้าใส่ปุ๋ยเคมีจะเห็นผลได้ในเร็ววัน แต่ถ้าเป็นปุ๋ยอินทรีย์จะเห็นผลแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่เป็นผลดีในระยะยาว ยิ่งนานไปยิ่งให้ผลผลิตดก ดินยิ่งดีขึ้น
หากท่านใดสนใจ อยากจะทดลองทำปุ๋ยหมักไว้ใช้เองภายในสวนบ้าง อันดับแรกต้องขอแนะนำว่าให้เริ่มต้นสำรวจสภาพพื้นดินบริเวณที่จะเพาะปลูก ว่าเป็นดินชุดอะไร ดินแต่ละชุดมีธาตุอาหารไม่เหมือนกัน หรือถ้าใครปลูกไปแล้วก็ให้ลองเก็บผลไม้ที่ปลูกมาชิม ว่ารสชาติเป็นแบบไหน ขาดอะไร เพราะเราสามารถที่จะปรุงแต่งรสชาติผลไม้ได้เองโดยการใช้ผลไม้สุกมาหมักทำเป็นปุ๋ยได้ เช่น ผลไม้สุกที่เป็นสีเหลืองจะช่วยในเรื่องของการผลิดอกออกผล
“ยกตัวอย่าง พื้นที่ของผมมีสภาพเป็นดินร่วนปนทราย การปรับสภาพดินช่วงแรกใช้กล้วยเป็นผลไม้ปรับสภาพดิน ในส่วนของต้นกล้วยและหน่อกล้วย นำมาใช้ทำฮอร์โมน ส่วนของหยวกกล้วยเอามาช่วยเร่งขนาดของผล ทำให้ผลใหญ่ ส่วนของปลีกล้วย เอามาหมักช่วยให้ขั้วเหนียว และในส่วนของผลเอามาช่วยเพิ่มความหวาน ที่แนะนำเป็นกล้วยเพราะว่ากล้วยเป็นผลไม้ที่สามารถหาได้ง่ายทุกพื้นที่”
ระบบน้ำ… มีทั้งระบบน้ำหยดและสเปรย์หมอก เลือกใช้ให้เหมาะสมตามฤดูกาล แต่ถ้าเป็นฝรั่งที่สวนจะใช้ระบบน้ำหยดเป็นหลัก เปิดวันละ 1 ชั่วโมง หรือถ้ายังมีความชื้นอยู่ให้รดแบบวันเว้นวัน เพื่อเป็นการประหยัดต้นทุน และไม่สิ้นเปลืองเวลา
ระยะปลูกถึงเก็บเกี่ยว ฝรั่งจะเริ่มเก็บผลผลิตได้เมื่ออายุได้ประมาณ 8 เดือน หลังปลูก โดยใน 1 ปี จะทำชุดใหญ่ 3 ชุด เฉลี่ยผลผลิตต่อไร่ ประมาณ 1.2-1.3 ตัน ในกรณีที่ผลผลิตนิ่งแล้ว ถือว่าผลผลิตอยู่ในเกณฑ์ที่สู้กับเคมีได้สบาย
เทคนิคการห่อผลแบบประณีต
- ลักษณะของผลที่จะห่อ ต้องมีสีเขียว มัน สด ไม่มีตำหนิ
- ให้เริ่มห่อตั้งแต่ขนาดผลเท่าเหรียญสิบ
- ก่อนห่อต้องตัดแต่งกิ่ง คัดลูกให้เรียบร้อยก่อนห่อ จากนั้นห่อผลชั้นแรกด้วยถุงพลาสติกใหม่ แล้วห่อทับด้วยถุงกระดาษอีกชั้น เพียงเท่านี้ก็จะได้ผลผลิตฝรั่งที่ผิวสวย ลูกไม่เป็นลาย และยังช่วยป้องกันแมลงศัตรูพืชเบื้องต้นได้ด้วย
ผลิตสินค้าอินทรีย์
มีตลาดรองรับไม่ขาดสาย
เรื่องของการตลาด คุณชยุตม์ บอกว่า ด้วยความที่ผลผลิตของตนมีมาตรฐานสินค้าปลอดภัยอยู่แล้ว จึงหาตลาดได้ไม่ยาก เริ่มจากการเข้าหาหน่วยงานราชการให้เขาแนะนำตลาดจนมีโอกาสได้เข้าไปขายในตลาดเกษตรอินทรีย์ และได้มีการพัฒนาทั้งคุณภาพสินค้า และขยายตลาดมาเรื่อยๆ จนปัจจุบันผลผลิตของตนสามารถทำส่ง ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ในจังหวัดได้แล้ว และนอกจากนี้ยังมีในส่วนของตลาดออนไลน์อีกช่องทางหนึ่ง ซึ่งก็ต้องบอกกันตามตรงว่า ตอนนี้ผลผลิตที่มีอยู่ไม่พอขาย ในอนาคตจึงมีการวางแผนที่จะขยายพื้นที่ปลูกและกำลังที่จะขยายเครือข่ายหาผู้ที่สนใจการทำเกษตรเข้ามาเรียนรู้ในเรื่องของการทำเกษตรอินทรีย์ทุกรูปแบบ ส่วนเรื่องรายได้นั้น คิดเป็นรายได้ต่อครอป 3-4 เดือน อยู่ที่ประมาณ 45,000-50,000 บาท ฝรั่งถือเป็นพืชที่ปลูกได้ตลอดทั้งปี ออกผลทั้งปี ปลูกครั้งเดียวเก็บผลผลิตได้นานหลายปี ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการดูแลที่ดีด้วย
ฝากถึงเกษตรกรทั้งมือเก่าและมือใหม่
“อยากให้ทุกคนหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น ใครที่มีพื้นที่ทำเกษตรอยู่แล้วแต่ยังทำเป็นเคมีอยู่ก็อยากให้ค่อยๆ ลองปรับเปลี่ยนมาทำเกษตรอินทรีย์ดูบ้าง แล้วจะเห็นผลลัพธ์ที่แตกต่าง การทำเกษตรอินทรีย์สามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตได้อย่างเห็นได้ชัด ยกตัวอย่าง ที่สวนผมปลูกฝรั่งแบบอินทรีย์ทุกขั้นตอน ต้นทุนการผลิตฝรั่งอยู่ที่กิโลกรัมละไม่เกิน 10 บาท แต่สามารถขายผลผลิตได้ กิโลกรัมละ 30-50 บาท แค่นี้ก็มองเห็นกำไรแล้ว และที่นอกเหนือจากเรื่องของรายได้ที่เพิ่มขึ้นกว่าการใช้สารเคมีแล้ว เกษตรกรและผู้บริโภคจะได้สุขภาพที่ดีกลับคืนมาด้วย จึงอยากให้เกษตรกรทั้งมือเก่าและมือใหม่หันมาให้ความสำคัญกับเกษตรอินทรีย์กันให้มากขึ้น” คุณชยุตม์ กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับท่านใดที่สนใจอยากเรียนรู้การทำเกษตรอินทรีย์ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เบอร์โทร. 098-296-7538