กาแฟอาราบิก้า สร้างรายได้ให้ชาวเขาเผ่าเมี่ยนบ้านผาแดง อำเภอแม่ใจ ปีละหลายล้านบาท

ปัจจุบัน มีคนนิยมดื่มกาแฟกันมาก และในประเทศไทยก็มีการปลูกกาแฟเพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคด้วยเช่นกัน ในจังหวัดพะเยาก็มีแหล่งปลูกกาแฟหลายพื้นที่ รวมถึงที่บ้านผาแดง ตำบลศรีถ้อย อำเภอแม่ใจ ก็ปลูกกันมานาน ส่งขายให้กับผู้ผลิตและโรงงานคั่วบดกาแฟเพื่อชงขายให้กับคอกาแฟทั่วไป ทำรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกบ้านผาแดงนับสิบล้านบาท

กาแฟที่สุกพร้อมเก็บเกี่ยว

การปลูกกาแฟในภาคเหนือได้รับการส่งเสริมจากโครงการหลวง เพื่อทดแทนการปลูกพืชเสพติด โดยเกษตรกรจำหน่ายผลผลิตผ่านโครงการหลวงปีละประมาณ 400-500 ตันกาแฟกะลา ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรบนพื้นที่สูงได้เป็นอย่างดี การพัฒนาการปลูกและผลิตกาแฟอาราบิก้าของโครงการหลวงได้นำมาเป็นต้นแบบการผลิตกาแฟอาราบิก้าจากประเทศโคลัมเบียมาใช้

เนื่องจากมีสภาพภูมิประเทศที่ใกล้เคียงกับพื้นที่สูงของไทย โดยประเทศโคลัมเบียมีการพัฒนาการปลูกและผลิตกาแฟมายาวนาน และได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ผลิตกาแฟคุณภาพดีที่สุดของโลกในปัจจุบัน การปลูกกาแฟของโคลัมเบียจะปลูกบนพื้นที่สูง 1,200-1,800 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล อุณหภูมิเฉลี่ย 19-21.5 องศาเซลเซียส และจะปลูกต้นกล้วยควบคู่ไปด้วย เพื่อเป็นร่มเงาและมีรายได้จากกล้วย ร่มเงาจะทำให้เมล็ดกาแฟมีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งกาแฟอาราบิก้าโคลัมเบีย เป็นกาแฟที่มีชื่อเสียง คุณภาพดี มีกลิ่นหอม รสชาติอร่อย ราคาสูง เป็นพืชที่ทำรายได้ให้กับเกษตรกรจำนวนมาก

กาแฟอาราบิก้าพันธุ์ต่างๆ ได้มีการวิจัย ทดสอบปลูกและได้มีการส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงต่างๆ ปลูกเพื่อทดแทนพืชเสพติดและเป็นพืชรายได้มานานกว่า 40 ปี ปัจจุบันสายพันธุ์คาติมอร์ เป็นสายพันธุ์หลักที่มีการปลูก เนื่องจากสามารถเจริญเติบโตดี ทนทานต่อโรคราสนิม และให้ผลผลิตได้ดีในสภาพแวดล้อมบนดอยสูงของศูนย์พัฒนาโครงการหลวง

เมล็ดกาแฟที่ยังไม่แก่

สภาพแวดล้อมที่มีความเหมาะสมต่อการปลูกกาแฟอาราบิก้านั้น ความสูงของพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการให้คุณภาพกาแฟอาราบิก้านั้น ควรจะเป็นพื้นที่สูงตั้งแต่ 1,000 เมตรขึ้นไป เนื่องจากอากาศเย็นบนดอยสูง อุณหภูมิเฉลี่ยที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 18-22 องศาเซลเซียส จะช่วยให้เมล็ดกาแฟเจริญเติบโตและพัฒนาสารอาหารที่พอเพียงจนได้อายุพร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยวที่ 8-9 เดือน นอกจากนี้ สภาพดินที่ปลูกกาแฟควรเป็นดินที่สามารถระบายน้ำได้ดี และความเป็นกรดด่างดิน (pH) อยู่ระหว่าง 5.0-5.5 ปริมาณน้ำฝน ควรอยู่ระหว่าง 1,500-1,800 มิลลิเมตร ต่อปี ความชื้นสัมพัทธ์อยู่ระหว่าง 70-80% และความลาดชันของพื้นที่ไม่เกิน 45 องศา เพราะต้องพิจารณาถึงระยะปลูกให้เหมาะสมกับความลาดชันและการทำงานในสวนที่ง่ายและสะดวกของเกษตรกรด้วย

การปลูกและการปฏิบัติรักษาสวนกาแฟของเกษตรกร การปลูกกาแฟด้วยระยะปลูกที่เหมาะสมกับลักษณะการเจริญเติบโตของสายพันธุ์ เช่น ต้นเตี้ย ต้นสูง และความกว้างของทรงพุ่มนั้นเป็นสิ่งที่ต้องคำนึง เพื่อให้การใช้ประโยชน์ของพื้นที่ปลูกสูงสุด และสามารถเพิ่มผลผลิตต่อพื้นที่ให้มากกว่าระบบเดิมที่ 2.0×2.0 เมตรได้

โดยสายพันธุ์กาแฟปัจจุบันสามารถปลูกระยะชิดขึ้น โดยระยะปลูกที่เหมาะสม เช่น 1.5×1.5 และ 1.5×2.0 เมตร โดยจะทำให้มีจำนวนต้นต่อไร่เท่ากับ 711 ต้น และ 533 ต้น ต่อไร่ ตามลำดับ หลุมปลูก ควรมีขนาด 50x50x50 เซนติเมตร นอกจากนี้ ในบางพื้นที่ปลูกกาแฟอาราบิก้าระบบเดิมนั้น เกษตรกรปลูกกาแฟไม่เป็นระเบียบ ทำให้เกิดความยุ่งยากในการจัดการสวน เช่น ปลูกชิดเกินไป หรือห่างเกินไปนั้นเป็นสาเหตุหนึ่งที่มีผลต่อปริมาณและการให้ผลผลิตของต้นกาแฟได้ เช่น ในพื้นที่ที่พบการระบาดของโรคราสนิม ไม่ควรมีระยะปลูกที่ชิดเกินไป

ผู้ใหญ่รัฐศาสตร์ สันติโชคไพบูลย์ ผู้ใหญ่บ้านบ้านผาแดง

การปลูกกาแฟให้ได้คุณภาพและเกิดความยั่งยืนของระบบการผลิตกาแฟ เกษตรกรจะต้องปลูกภายใต้สภาพร่มเงา โดยให้มีร่มเงาได้ไม่เกิน 70% และควรมีการปลูกพืชสลับกับการปลูกกาแฟ เช่น การปลูกไม้ผล กล้วย หรือพืชยืนต้นตระกูลถั่ว เพื่อเป็นการป้องกันการเกิดโรคราสนิม และช่วยลดการระบาดของโรคและแมลงศัตรูกาแฟบางชนิดได้

การปลูกไม้ให้ร่มเงาแบบถาวรสำหรับสวนกาแฟ ควรเป็นพืชตระกูลถั่ว เพราะใบไม้ที่ร่วงสามารถย่อยสลายเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินได้ โดยระยะปลูกระหว่างแถวกาแฟควรปลูกที่ระยะ 6×6 เมตร 9×9 เมตร หรือ 12×12 เมตร ขึ้นอยู่กับชนิดของไม้ให้ร่มเงา

การปลูกกาแฟภายใต้ร่มเงา ต้นกล้ากาแฟอาราบิก้าที่มีคุณภาพจะเป็นต้นกล้าที่เกิดจากกระบวนการเพาะเมล็ดจากแหล่งเพาะเมล็ดที่น่าเชื่อถือ เมล็ดพันธุ์กาแฟที่ดีจะต้องเก็บจากต้นแม่พันธุ์ที่ทราบประวัติสายพันธุ์แน่นอน และคัดเลือกเก็บเมล็ดที่มีคุณภาพเพื่อนำไปเพาะให้ได้ต้นกล้าที่ตรงตามสายพันธุ์ การจัดการโรงเรือนที่มีคุณภาพดีที่ช่วยให้ต้นกล้าปลูกที่มีคุณภาพดีในพืชพันธุ์ใหม่ โดยใช้เมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพดีกับวัสดุเพาะที่ดี ขนาดถุงเพาะที่เหมาะสม และการควบคุมแสง รวมถึงการใช้เมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการรับรองพันธุ์ และเมื่อเกษตรกรปลูกกาแฟในสวนควรจะต้องทำแผนผังแปลงปลูกกาแฟของตัวเอง เช่น สายพันธุ์ วันที่ปลูก และจำนวนต้น เป็นต้น

พื้นที่ปลูกกาแฟอาราบิก้าต้องมีการวิเคราะห์ธาตุอาหารของดินก่อนปลูก ทั้งนี้เพื่อใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจ และปรับปรุงคุณสมบัติของดินให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตของกาแฟในแต่ละพื้นที่ปลูก การใส่ปุ๋ย ต้องตามสภาพของดินที่ได้รับการวิเคราะห์แล้วทางด้านกายภาพและเคมี การใส่ปุ๋ยในช่วงฤดูฝน ในพื้นที่ลาดชันควรทำร่องดินตอนเหนือของต้นกาแฟ ใส่ปุ๋ยแล้วกลบ (ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการถูกน้ำฝนชะล้าง) สำหรับพื้นที่ที่มีความลาดชันไม่มากนัก ให้ใส่ปุ๋ยรอบๆ ทรงพุ่มต้นกาแฟและใส่ปุ๋ยห่างจากโคนต้นเล็กน้อย

ป้ายแปลงผลิตแบบอินทรีย์ โดยศูนย์พัฒนาชาวเขาจังหวัดพะเยา

การให้ปุ๋ยกาแฟอาราบิก้าต้องคำนึงถึงอายุต้น โดยต้นกาแฟในช่วงก่อนให้ผลผลิตจะต้องการธาตุอาหารเพื่อเร่งการเจริญเติบโตทางด้านลำต้นและกิ่ง เช่น ธาตุไนโตรเจน และสำหรับต้นกาแฟที่ให้ผลผลิตแล้วควรให้ปุ๋ยอย่างน้อย 1 ครั้ง ต่อปี โดยเฉพาะต้นกาแฟที่ปลูกในร่ม แต่กาแฟที่ปลูกในที่แจ้ง ให้ใส่ปุ๋ย 2 ครั้ง โดยให้ปุ๋ยใน 2 ช่วง คือหลังออกดอก และ 2 เดือนก่อนเก็บเกี่ยว การให้ปุ๋ยกาแฟในฤดูฝน ควรใส่ปุ๋ยในบริเวณรอบต้น เป็นพื้นที่ครึ่งวงกลมตอนบนของต้น แล้วกลบปุ๋ยเพื่อช่วยลดการชะล้างปุ๋ยของน้ำฝน เนื่องจากพื้นที่ปลูกกาแฟอาราบิก้าส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ลาดชัน ก่อนการใส่ปุ๋ยต้องมีการกำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอบริเวณใต้ต้นกาแฟ โดยควรถอนด้วยมือบริเวณใต้ต้นกาแฟ เนื่องจากมีรากกาแฟอยู่ในระดับผิวดิน การใช้จอบสับหน้าดินจะทำให้รากกาแฟถูกกระทบกระเทือนได้ และให้ใช้วิธีการตัดหญ้าที่ระหว่างแถวกาแฟเพื่อรักษาความชื้นและหน้าดิน

การตัดแต่งกิ่งกาแฟโดยทั่วไป จะตัดแต่งกิ่งหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จ โดยตัดเฉพาะกิ่งที่เสียหายจากการเก็บเกี่ยว กิ่งที่แห้งตาย รวมถึงผลที่แห้งติดอยู่บนต้นออกด้วย เพื่อลดความเสี่ยงจากการเป็นแหล่งเพาะพันธุ์โรคและแมลงลง ให้ต้นกาแฟเจริญเติบโตและพร้อมสำหรับการออกดอกและติดผลในฤดูกาลถัดไป สำหรับต้นกาแฟที่มีอายุมาก ต้นโทรมและการให้ผลผลิตต่ำนั้น จะต้องปรับปรุงต้นโดยวิธีการตัดเพื่อสร้างลำต้นใหม่ ให้ตัดหลังจากการเก็บเกี่ยวผลผลิต หน่อใหม่จะแตกเมื่อได้รับแสงแดดเพียงพอ โดยรอบของการตัด กำหนดตัดทุกๆ 8 ปี หรืออาจจะช้าหรือเร็วกว่านี้ ขึ้นอยู่กับสภาพความสมบูรณ์การให้ผลผลิตของต้นกาแฟ โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน หรือ 25% แล้วให้ทยอยตัดปีละ 1 ส่วน จนครบ 4 ส่วน ซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีรายได้จากการจำหน่ายผลผลิตทุกๆ ปี

แปลงปลูกกาแฟของบ้านผาแดง

การเก็บเกี่ยวผลกาแฟอาราบิก้าเพื่อให้ได้คุณภาพที่ดีนั้น ควรมีการบันทึกระยะการเจริญเติบโตของผลตั้งแต่ระยะเริ่มออกดอก เพื่อช่วยในการกำหนดระยะเวลาและปริมาณที่จะต้องเก็บเกี่ยวในแต่ละช่วงฤดู เกษตรกรจะเก็บผลที่สุกพอดีด้วยมือ (ผลนิ่ม เมื่อบีบเมล็ดหลุดออกได้ง่าย) ไม่ควรเก็บผลที่สุกเกินไป ผลแห้ง หรือผลเขียว เพราะจะส่งผลต่อคุณภาพด้านรสชาติของเมล็ดกาแฟ เมื่อเก็บเกี่ยวผลกาแฟเสร็จแล้ว ควรนำไปสู่กระบวนการแปรรูปภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง เนื่องจากการทิ้งผลกาแฟไว้นานเกินไป จะเกิดกระบวนการหมักของเมล็ดกาแฟ ทำให้เมล็ดกาแฟมีกลิ่นเหม็นและมีรสชาติเปรี้ยว (บูด)

ในขั้นตอนของการโม่กาแฟผลสด ควรลดปริมาณการใช้น้ำลง หลังจากการโม่ผลกาแฟต้องคัดเปลือกกาแฟออกให้หมด ล้างทำความสะอาด แล้วหมักเมล็ดกาแฟด้วยน้ำที่สะอาด ประมาณ 24-36 ชั่วโมง เพราะถ้าเมล็ดกาแฟที่อยู่ในน้ำที่ไม่สะอาดนาน จะทำให้รสชาติที่ดีของกาแฟเปลี่ยนไป และเพิ่มโอกาสในการปนเปื้อนของเมล็ดกาแฟ หรือเกษตรกรอาจจะเลือกที่จะหมักเมล็ดกาแฟแบบไม่ใช้น้ำ ซึ่งสามารถกำจัดเมือกกาแฟได้ภายใน 16 ชั่วโมง (หมั่นตรวจว่าเมือกหุ้มกาแฟย่อยหมดหรือยัง ถ้าหมดให้รีบล้างทันที)

แปลงปลูกกาแฟของบ้านผาแดง

เพื่อให้คุณภาพของเมล็ดกาแฟที่ผลิตได้มีความสม่ำเสมอด้านคุณภาพ เกษตรกรควรรวมกลุ่มการแปรรูปในแต่ละหมู่บ้าน ซึ่งจะมีคุณภาพดีกว่าการผลิตเป็นรายเดี่ยว ของเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิตกาแฟที่ต้องคำนึงถึงคือ น้ำทิ้งจากกระบวนการ ควรมีระบบควบคุม จัดเก็บและบำบัด เพื่อให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่น้อยที่สุด เปลือกกาแฟสามารถนำมาทำเป็นปุ๋ยหมัก หรือใช้เลี้ยงไส้เดือนดินได้

การตากเมล็ดกาแฟ ควรมีโรงสำหรับตากเมล็ดกาแฟโดยทำเป็นลักษณะแคร่ยกสูงจากพื้นชั้นเดียวหรือหลายชั้นก็ได้ ซึ่งจะใช้เวลาน้อยกว่าการตากแห้งบนพื้นซีเมนต์ถึง 2 ชั่วโมง และเมื่อกาแฟกะลาแห้งดีแล้ว จากการตรวจสอบความชื้นของกะลากาแฟแล้ว ควรเก็บในถุงบรรจุเมล็ดกาแฟที่ทำขึ้นจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น กระสอบป่าน เพื่อช่วยในการระบายอากาศในขณะเก็บที่โรงเก็บกาแฟกะลาที่ตากแห้งแล้วต้องมีการถ่ายเทอากาศที่ดี ไม่เหม็นอับ  และมีความชื้นสูง

คุณรัฐศาสตร์ สันติโชคไพบูลย์ ผู้ใหญ่บ้านบ้านผาแดง หมู่ที่ 10 ตำบลศรีถ้อย อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา ซึ่งเป็นชาติพันธุ์เมี่ยน (เย้า) และชาวบ้านในพื้นที่หมู่บ้านผาแดง หันมาปลูกกาแฟอาราบิก้า สายพันธุ์คาติมอร์ และพันธุ์เชียงใหม่ 80 จากการส่งเสริมของหลายภาคส่วน ทั้งผลิตตั้งแต่ดูแลรักษา เก็บเกี่ยว กะเทาะเปลือก หมักแบบธรรมชาติ จากนั้นจึงนำกะลาที่ได้มาตาก ก่อนจำหน่ายสร้างรายได้หลัก หลังจากผลผลิตเป็นที่ต้องการของตลาดจนทำให้ทุกครัวเรือนปลูกกาแฟเพื่อจำหน่ายสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรนับสิบล้านบาทต่อปี