“สวนทอฝัน” ชีวิตหลังเกษียณของนายช่างชลประทาน เริ่มจากเลี้ยงไก่ฟ้า นกยูง…รายได้เงินแสน ต่อยอดสวนผลไม้

คุณสมโภชน์ ชูศิริ อดีตผู้อำนวยการโครงประทานจังหวัดตราดและจังหวัดจันทบุรี เกษียณอายุมาตั้งแต่ ปี 2554 เขาเล่าว่า เมื่อ 20 ปีที่แล้ว…ไม่มั่นใจในอาชีพรับราชการ จึงได้นำที่ดินมรดก 40 ไร่มาพัฒนาสวนเกษตรอินทรีย์ชื่อว่า “สวนทอฝัน” มีสัตว์เลี้ยงที่สวยงามอย่างไก่ฟ้า ม้าที่ช่วยกัดกินหญ้า และอุดมด้วยพืชผลนานาชนิด ล้วนให้ผลผลิตแล้วทั้งสิ้น มังคุด ลองกอง ปาล์มน้ำมัน อินทผลัม และมะนาวแข่งขันกันเติบโตและให้ผลตอบแทนเป็นรายได้หลักแสนในแต่ละปี

เจ้าของสวนบอกว่า เป็นความโชคดีที่ได้มรดกสวนจากคุณแม่มาเป็นต้นทุนสำคัญ ด้วยการค่อยๆ สร้างพืชผลใหม่ด้วยเงินออม เงินสะสมด้วยหลักของการดำเนินชีวิตแบบพอเพียงตลอดชีวิตรับราชการ เขายืนยันว่าฝันเขายังไม่จบเพียงวันนี้ อนาคตยังมีฝันอีกมากมาย โดยเฉพาะเมื่อส่งผ่านไปยัง คุณฐาปนา ชูศิริ ลูกชายคนเล็กที่จบปริญญาตรี สาขามัณฑศิลป์ จากมหาวิทยาลัยศิลปากร ที่จะช่วยถักทอสานต่อสวนทอฝัน เริ่มสะสมทุน

“สวนทอฝัน” ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 2 หมู่ที่ 8 ตำบลทุ่งนนทรี อำเภอเขาสมิง จังหวัดตราด อยู่ห่างจากตัวอำเภอเขาสมิงไปเพียง 3 กิโลเมตร บริเวณสวนร่มรื่น ตั้งแต่เข้าไปในเขตสวนทอฝัน ร่มรื่นด้วยสวนมังคุด ลองกอง ปาล์มน้ำมัน อินทผลัม มะนาว ด้านหลังสวนปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ สวนไผ่ ริมฝั่งแม่น้ำเขาสมิงมีเรือนรับรองอยู่ริมน้ำ รับลมโกรกเย็นสบายตลอดเวลา ไม่ร้อนสักนิดแม้จะเป็นเวลาช่วงเที่ยงๆ แดดแรงจัด ช่วงเวลาพูดคุยกันเห็นว่ามีเกษตรรุ่นใหม่วัยหลังเกษียณแวะเวียนมาชมสวนมะนาว อินทผลัม พร้อมหาความรู้ขอคำแนะนำ

“สมโภชน์” ชาวจังหวัดตราดแท้ๆ เล่าว่า เมื่อจบการศึกษาระดับปริญญาตรี วิศวชลประทาน จากมหาลัยเกษตรศาสตร์ ก็เริ่มต้นรับราชการ ไต่เต้าตามลำดับขั้นในกรมชลประทาน จนกระทั่งตำแหน่งก่อนเกษียณในปี 2554 คือ ผู้อำนวยการโครงประทานจังหวัดตราด 5 ปี และย้ายมาเกษียณตำแหน่งเดียวกันที่จังหวัดจันทบุรี 3 ปี ช่วงรับราชการมีครอบครัวและลูก 3 คน ช่วงเวลาหนึ่งเห็นว่าชีวิตราชการไม่น่าจะมั่นคง จึงคิดอยากทำสวนไว้ในอนาคตเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตครอบครัว โชคดีที่มีที่ดินสวนยางพารา 40 ไร่ ที่แม่ยกให้เป็นต้นทุนเดิม ซึ่งกว่าจะได้เริ่มลงมือทำจริงจังก็เข้าสู่ปี 2530

“ช่วงปี 2522-2525 ไปช่วยงานสร้างเขื่อนอ่างเก็บน้ำในค่ายอพยพชาวกัมพูชาที่ชายแดนเขาล้าน จังหวัดตราด สัมผัสกับการสู้รบในแนวชายแดน ท่ามกลางเสียงปืนและระเบิด เห็นว่าชีวิตการทำงานเสี่ยง ไม่ปลอดภัย อาจจะเสียชีวิตหรือพิการได้ ตอนนั้นความดีความชอบพิเศษไม่ได้เหมือนหน่วยงานอื่น เพราะไม่ได้เป็นการสั่งการให้ไปช่วยทำราชการเหมือนหน่วยงานอื่นๆ จึงคิดหาหลักฐานให้ครอบครัวอีก 4-5 ปี ต่อมาเริ่มบุกเบิกสวนยางพาราและผลไม้ของแม่ที่ไม่มีใครดูแล ใช้เงินออมน้อยนิดลงไปในสวนจากเงินเดือนที่ได้เดือนละ 3,000-4,000 บาท พร้อมๆ กับพยายามหาความรู้ไปเรื่อยๆ ประกอบกับพื้นฐานเป็นลูกชาวสวนอยู่แล้ว ระยะหลังเงินเดือนเริ่มสูงขึ้นเป็นหลักหมื่น เพราะเป็นคนไม่สูบบุหรี่ เที่ยวกลางคืน หรือตีกอล์ฟเหมือนเพื่อนๆ วันหยุดเสาร์-อาทิตย์เข้าสวนมีเงินออม ทุ่มลงไปในสวนเดือนละเป็นหมื่นบาท คิดว่าจะรับราชการต่ออีกระยะให้ได้ซี 7 เงินเดือนสูงเก็บสะสมได้มากพอจะลาออกมาทำสวน ถึงเวลาจริงๆ พรรคพวกให้อยู่ซี 8 เพื่อให้ได้สายสะพายก็เลยอยู่ต่อถึงเกษียณ” คุณสมโภชน์ เริ่มเล่าถึงแรงบันดาลใจ

เริ่มจากเลี้ยงไก่ฟ้า นกยูง

รายได้เงินแสนต่อยอดสวนผลไม้

คุณสมโภชน์ เล่าว่า ช่วงแรกๆ ที่คิดมาทำสวนไม่มีเงินทุนมากนักและยังทำงานรับราชการอยู่ด้วย เริ่มจากใช้เงินลงทุนสะสมจากการเลิกสูบุหรี่ รวมๆ ปีละน่าจะ 100,000-200,000 บาท แล้วคิดหารายได้ต่อยอดด้วยการเลี้ยงพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ไก่ฟ้า นกยูง และเพาะพันธุ์ขายลูก เลี้ยงอยู่ 40-50 ตัว การเลี้ยงต้องเอาใจใส่หาวิธีดูแลแบบภูมิปัญญาชาวบ้านให้ไก่แข็งแรงและไม่เจ็บป่วย เช่น ฤดูฝนให้ไก่กินใบกะเพรา พริกขี้หนู มะละกอ แก้หวัดบำรุงร่างกาย และให้กินน้ำผสมน้ำหมักชีวภาพ ซึ่งได้ผลดี ไก่แข็งแรงขายลูกได้เงินแสน เป็นทุนสะสมทำสวนอย่างจริงจัง เริ่มจากการขุดสระน้ำไว้ 2 แห่ง รวมๆ แล้วประมาณ 3 ไร่ครึ่ง เพื่อให้มีน้ำเพียงพอตลอดปี โค่นยางพาราเก่าปลูกพันธุ์ใหม่ แต่เมื่อได้กรีดกลับเจอปัญหาราคาถูก หาคนกรีดยาก จึงตัดโค่นและเปลี่ยนมาปลูกลองกอง ทุเรียน ปลูกสะละเนินวงศ์แซม แต่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะไม่ได้ดูแลเอง มีเวลาเฉพาะเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น

ไก่ฟ้าหางยาวลิฟท์แพงสุด

“ไก่ฟ้าที่เลี้ยงมี 2-3 สายพันธุ์ เราจะฟักไข่ในตู้ไม่ให้แม่ฟักเสียเวลาและได้ลูกร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะไก่ฟ้าปีหนึ่งจะออกลูกครั้งเดียว ราคาแต่ละสายพันธุ์ต่างกัน เช่น หางยาวลิฟท์ ราคาคู่ละ 8,000 บาท เยลโล่ 7,000 บาท คอแหวน 3,000 บาท ส่วนนกยูง 5,000 บาท มีรายได้เดือนละ 200,000 บาท พอจะเป็นทุนไปทำสวนได้ ตอนโค่นยางพารา เปลี่ยนมาเป็นสวนลองกอง ทุเรียน แต่เมื่อลองกองออกผลออกมาถูกกดราคาต่ำมาก ทุเรียนโดนน้ำท่วมหนัก คิดใหม่เอาสะละเนินวงศ์มาปลูกแซมในลองกอง ปลูกมังคุด ส้มโอ ขนุนแซม แต่ตอนนั้นไม่ได้ทำจริงจังเพราะย้ายไปทำงานที่ต่างจังหวัด เรียกว่ายังไม่ประสบผลสำเร็จกับสวน” คุณสมโภชน์ ฟื้นความหลัง

ทุนหลังเกษียณขยายผลสวนอินทผลัม มะนาว และส้มโอ

คุณสมโภชน์ เล่าต่อไปว่า สวนทอฝันเปลี่ยนแปลงมาสู่ภาพที่เห็นในปัจจุบัน สวนปาล์ม อินทผลัม มะนาว เริ่มทำไว้ก่อนเกษียณเล็กน้อยเมื่อประมาณ 5-6 ปี เมื่อสวนผลไม้ลองกอง ทุเรียนไม่ได้ผลดี จึงได้ทดลองนำมะนาว ส้มโอพันธุ์ทับทิมสยาม ขนุนทองประเสริฐมาปลูกแต่ยังไม่ได้ผลดีเช่นกัน จึงหันไปปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่ 10 ไร่ เพื่อประกันความเสี่ยง มุ่งหวังให้มีผลผลิตเป็นรายได้ทุกๆ เดือน พอเกษียณออกมามีเงินก้อน 200,000 บาท ได้ลงทุนบุกเบิกปลูกพืชตัวใหม่ 2-3 ชนิด คือ ปลูกอินทผลัม 200 ต้น ใช้พันธุ์เลกเคอร์นัวผสมกับบาร์ฮี มาเพื่อบริโภคผลสด ปลายปีจะเริ่มให้ผล โดยลูกชายได้เตรียมด้านการตลาดไว้แล้ว และระหว่างต้นลองกองได้ปลูกมะนาวในบ่อซีเมนต์ และ ปลูกส้มโอพันธุ์ทับทิมสยามอีก 100 ต้น เพราะเป็นพันธุ์ที่มีราคาดี ใช้กิ่งตอนเสียบยอด 4 ปีก็น่าจะให้ผลแล้ว

 ปลูกพริก ส้มโอ มะนาว

“ภรรยาและลูกชายคนเล็กมาอยู่ช่วยดูแลในสวนจะทำให้มีเวลาทำสวนกันมากขึ้น ต่อไปอาจจะปลูกมะนาวแทนปาล์มน้ำมัน เพราะรายได้ดีกว่าประมาณไร่ละ 60,000-100,000 บาท ขณะที่ปาล์มไร่ละประมาณ 14,000 บาท มะนาวเป็นมะนาวกลายจากเมล็ดที่มีเหลืออยู่ 3 ต้น มีความทนทานสูง น้ำดีและมีกลิ่นหอม ได้นำมาขยายพันธุ์ปลูกใหม่ ขายทั้งเป็นกิ่งตอนมีลูกค้าฝั่งกัมพูชาเข้ามาสั่งซื้อเป็น 1,000 กิ่ง กิ่งชำอายุ 1-2 เดือน ใส่ถุงชำกิ่งละ 100-130 บาท และดัดแปลงปลูกใส่กระถางสวยๆ ออกดอกและมีลูกทะยอยให้กิน เป็นไม้ประดับได้ต้นละประมาณ 1,800-2,000 บาท ส้มโอพันธุ์ทับทิมสยาม ทำตลาดได้ดี ขายแค่ลูกละ 100-150 บาทก็พอแล้ว” คุณสมโภชน์ กล่าว

ทุกอย่างเกษตรอินทรีย์…บวกภูมิปัญญาชาวบ้าน

คุณสมโภชน์ เล่าว่า ใน “สวนทอฝัน” พืชผลทุกอย่างเป็นเกษตรอินทรีย์ เลี้ยงทั้งม้าและไก่ เพื่อนำมูลสัตว์ไปทำปุ๋ยคอก ม้าเลี้ยงไว้หนึ่งคู่ช่วยกินหญ้าในสวน เลี้ยงไก่ไข่ไว้กินไข่ด้วย และทำน้ำหมักชีวภาพไว้ใช้พ่นฆ่าแมลง เชื้อราที่ต้นไม้โดยเฉพาะมะนาว นอกจากนี้ ได้ศึกษานำภูมิปัญญาชาวบ้านมาใช้ เช่น การทำปุ๋ยคอก จะใช้ดินผสมกับขี้ม้า ขี้ไก่ กากถ่านอย่างละเท่าๆ กัน หรือสูตรการทำปุ๋ยใช้เองเรียกว่า จุลินทรีย์เบญจกุล ที่ได้รับคำแนะนำจาก คุณศุภชัย สัตถาการ ประธานมูลนิธิจำเนียร ลองทำใช้ได้ผลดี โดยเฉพาะการปลูกมะนาวที่ไม่ทราบสายพันธุ์ ได้ตั้งชื่อให้ใหม่ว่า “พันธุ์เขาสมิง” ปลอดสารเคมี 100%

“ดินที่ปลูกมะนาวจะปรับปรุงดินด้วยขี้ม้า ขี้วัว นม กากถ่าน กากมะพร้าว เพื่อให้มีจุลินทรีย์ จากนั้นทำจุลินทรีย์เบญจคุณ ใช้ดินจาก 5 แห่งในสวน คือ จากกอหน่อกล้วย จอมปลวก น้ำซาวข้าวเหนียว แป้งข้าวหมาก รากข้าวจุลินทรีย์ ปั้นเท่าลูกเทนนิส ผสมกับนมวัว น้ำรำอาหารไก่เล็กอย่างละลูก ปั้นเป็นลูกขนาดลูกเทนนิสทิ้งไว้ 3-4 วัน ให้เชื้อเดินเห็นเป็นสีขาว จึงนำไปฝังในดินบริเวณโคนต้นมะนาวที่ปลูกในบ่อซีเมนต์ 1 ลูก ต่อ 1 ตารางเมตร จุลินทรีย์นี้จะช่วยให้รากเดินได้สะดวก ช่วยย่อยปุ๋ย รากดูดอาหารย่อยสลายได้ง่าย ช่วยให้เติบโตเร็ว ส่วนการให้อาหารทางใบจะใช้น้ำส้มควันไม้ฉีดพ่นกันแมลงทางใบ” คุณสมโภชน์ กล่าว

“อาชีพทำสวนเสมือนได้ออกแบบตามฝัน จึงได้ตั้งชื่อสวนว่า “สวนทอฝัน” สวนทำให้เราสุขภาพกายแข็งแรง สุขภาพจิตดี และทำให้ครอบครัวอบอุ่น มีอนาคตมั่นคง และรู้จักอยู่อย่างพอเพียง” คุณสมโภชน์ กล่าวในตอนท้าย

สนใจศึกษาดูงานสวนทอฝัน ติดต่อ คุณสมโภชน์ ชูศิริ โทร. (086) 316-1865