ผู้เขียน | สาวบางแค 22 |
---|---|
เผยแพร่ |
เกษตรกรมือใหม่มือเก่าหลายรายที่มั่นใจว่า ตัวเองมีฝีมือดีในการปลูกพืช เมื่อหันมาปลูกมะละกอ เจอปัญหาทั้งเรื่องการปลูก ดูแล และการตลาด จนรู้สึกท้อถอยและตัดสินใจเลิกปลูกมะละกอไปในที่สุด ทำให้ “มะละกอ” ได้ชื่อว่า เป็นผลไม้ปราบเซียนมานักต่อนักแล้ว ดังนั้น การปลูกมะละกอจึงเป็นศาสตร์ที่จำเป็นต้องเรียนรู้ให้เข้าใจธรรมชาติของต้นมะละกอ ดูแลจัดการสวนอย่างเหมาะสม เพื่อให้ได้ผลผลิตคุณภาพดี ตรงกับความต้องการของตลาด
มะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์ เป็นพันธุ์มะละกอที่นำมาจากประเทศฮอลแลนด์ เมื่อปี 2543 มีชื่ออื่นๆ ได้แก่ เรดมาราดอร์ ปลักไม้ลาย และเซซากิ แต่เกษตรกรไทยนิยมเรียกว่า มะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์ นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายในประเทศไทย และเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมากโดยเฉพาะผลสุก เนื่องจากมีเนื้อสีแดงอมส้ม เนื้อหนา รสหวาน เปลือกหนา ทนทานต่อโรค ทนทานต่อการขนส่ง ให้ผลดก เนื้อแน่นแข็ง น้ำหนักดี รสชาติหวาน อร่อย ความหวานเฉลี่ย 11-13 องศาบริกซ์
หากมีการดูแลให้ปุ๋ยให้น้ำอย่างเหมาะสม มะละกอฮอลแลนด์จะให้ผลผลิตสูงมากถึงต้นละ 100 กิโลกรัม ตลอดอายุการเพาะปลูก หลังย้ายปลูก 9 เดือน ก็สามารถเก็บผลสุกมะละกอจำหน่ายได้ โดยเลือกเก็บเฉพาะผลที่สุก 5-10 เปอร์เซ็นต์ ผิวมีแต้มสีเหลืองปรากฏอยู่บนผล 2-3 แต้ม น้ำหนักผลอยู่ที่ประมาณ 0.8-1.2 กิโลกรัมต่อผล มะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์สามารถปลูกได้เกือบทุกสภาพพื้นที่ ยกเว้นพื้นที่น้ำขัง ดินที่เหมาะสมควรเป็นดินเหนียวปนทราย

มะละกอฮอลแลนด์…ปลูกแล้วรวย
คุณอภิชาติ นาคประสงค์ เกษตรกรผู้ปลูกมะละกอในพื้นที่ภาคอีสานมานานกว่า 20 ปี ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกมะละกอฮอลแลนด์ 20 ไร่ ปลายปีนี้เขาวางแผนขยายพื้นที่ปลูกมะละกอเพิ่มเป็น 100 ไร่ แรงจูงใจที่ทำให้หันมาทำอาชีพปลูกมะละกอเพราะอยากรวย เนื่องจากมะละกอฮอลแลนด์เป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้และสร้างเศรษฐีมาเยอะมาก แถมเป็นพืชเพียงไม่กี่ชนิดที่ให้ผลตอบแทนสูง
คุณอภิชาติ บอกว่า พื้นที่ 1 ไร่ สามารถปลูกมะละกอฮอลแลนด์ได้ 200 ต้น แต่ละต้นจะให้ผลผลิตประมาณ 50 ลูก แค่ขายได้ลูกละ 10 บาท เท่ากับมีรายได้จากการขายมะละกอฮอลแลนด์ เฉลี่ยปีละ 100,000 บาท หากขายผลผลิตในช่วงปลายปี จะขายได้ราคาสูงประมาณกิโลกรัมละ 30-35 บาท เท่ากับมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว หากใครอยากมีรายได้ปีนี้สัก 500,000 บาท ก็ปลูกมะละกอฮอลแลนด์สัก 5 ไร่
เพื่อนเกษตรกรหลายรายที่ประสบความสำเร็จในการปลูกมะละกอฮอลแลนด์ต่างยืนยันว่า มีรายได้จากการจำหน่ายผลผลิตขั้นต่ำ ไร่ละ 100,000 บาท นอกจากนี้ การปลูกมะละกอฮอลแลนด์ใช้เงินทุนน้อย แค่ไร่ละ 15,000-18,000 บาท หากใครลงทุนเครื่องสูบน้ำ อาจจะใช้เงินลงทุนเพิ่มขึ้น เฉลี่ยไร่ละ 30,000 บาท หลังหักต้นทุนค่าใช้จ่ายแล้ว ยังเหลือผลกำไรอีกก้อนโต
เล็งทำเลให้ดีก่อนปลูก
คุณอภิชาติ กล่าวว่า การคัดเลือกที่ดินสำหรับปลูกมะละกอเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องดูแลใส่ใจเป็นอันดับแรก ควรปลูกมะละกอในบริเวณที่ดอน สามารถระบายน้ำได้ดี ไม่ควรปลูกในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อน้ำท่วมขัง เพราะเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ง่าย ที่สำคัญแหล่งปลูกควรมีสระน้ำหรือบ่อบาดาล หากอยู่ใกล้ริมห้วยหรือแม่น้ำก็ยิ่งดี เพราะจะได้มีแหล่งน้ำสำหรับใช้ในการเพาะปลูกได้ตลอดทั้งปี

มะละกอฮอลแลนด์ ปลูกง่าย
คุณอภิชาติ เล่าว่า ผมรู้จักคนที่ไม่เคยกินมะละกอเยอะ หลายรายได้มีโอกาสกินมะละกอฮอลแลนด์แล้วเกิดความประทับใจ เพราะมะละกอฮอลแลนด์มีรสชาติอร่อย มะละกอฮอลแลนด์เป็นพืชที่น่าปลูก ใครยังมีพื้นที่ว่าง ผมแนะนำให้ปลูกมะละกอฮอลแลนด์ขาย หากมีที่ดินน้อยแค่ 1 ไร่ ก็ปลูกมะละกอฮอลแลนด์ขายในตลาดท้องถิ่น หากคิดจะลงทุนปลูกมะละกอฮอลแลนด์เชิงการค้า ควรมีพื้นที่ปลูกอย่างน้อย 5 ไร่ หรือรวมกลุ่มเพื่อนเกษตรกรในชุมชน แบ่งพื้นที่คนละ 2 ไร่ ลงทุนปลูกมะละกอแปลงใหญ่ เพื่อสร้างพลังต่อรองซื้อขายผลผลิตกับแม่ค้าได้ดีขึ้น

วางแผนการขายให้ถูกจังหวะ
คุณอภิชาติ บอกว่า อยากปลูกมะละกอฮอลแลนด์ให้รวย ต้องวางแผนปลูกให้สอดคล้องกับช่วงฤดูการขาย หากใครต้องการขายมะละกอให้ได้ราคาสูงๆ ควรเริ่มเพาะกล้ามะละกอ ประมาณช่วง วันที่ 15-30 มกราคม ก่อนย้ายต้นกล้ามาปลูกลงแปลงที่เตรียมไว้ในช่วงกลางเดือนมีนาคม วิธีนี้จะช่วยให้เกษตรกรมีผลผลิตออกขายได้ตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม เป็นต้น ซึ่งระยะเวลาดังกล่าวเป็นโอกาสทองของฤดูการขายมะละกอ เพราะเป็นช่วงเวลาที่มีตลาดผลไม้มีการแข่งขันต่ำ ไม่ค่อยมีผลไม้ประเภทอื่นๆ เข้าสู่ตลาด ทำให้มะละกอเป็นผลไม้ทางเลือกที่โดดเด่นสุดในช่วงนี้ เรียกว่าหากใครต้องการบริโภคผลไม้ ก็ต้องเลือกซื้อมะละกอเป็นหลัก ทำให้เจ้าของสวนมะละกอสามารถขายผลผลิตได้ในราคาสูงๆ

……………………………
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก เมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2564