ที่มา | เทคโนโลยีเกษตร |
---|---|
ผู้เขียน | สาวบางแค22 |
เผยแพร่ |
ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ขยายวงกว้างต่อเนื่อง ในปี 2563-2564 ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย รวมทั้งตลาดสินค้าเกษตรของไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้เกษตรกรทั่วประเทศต้องปรับพฤติกรรมการดำเนินชีวิตประจำวัน ในรูปแบบ New Normal ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทั้งในวันนี้และในอนาคต
“มะม่วง” หนึ่งในไม้ผลส่งออกสำคัญของประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 เช่นเดียวกัน คุณสายันต์ บุญยิ่ง นายกสมาคมชาวสวนมะม่วงไทย (โทร. 081-887-1964) กล่าวว่า ชาวสวนมะม่วงยังรับมือกับปัญหาต่างๆ ได้ เพราะเครือข่ายชาวสวนมะม่วงเข้าถึงข้อมูลข่าวสารด้านการผลิต-ตลาด สามารถบริหารจัดผลผลิตให้เข้าสู่ตลาดในระยะเวลาที่เหมาะสมได้อย่างเป็นระบบ อย่างไรก็ตาม หากชาวสวนมะม่วงได้รับการสนับสนุนด้านระบบโลจิสติกส์และสิทธิประโยชน์ทางการค้าจากหน่วยงานภาครัฐ ก็เชื่อว่ามะม่วงไทยยังสามารถเติบโตในเวทีตลาดโลกได้อย่างสบาย
ภาพรวมมะม่วงไทย
ประเทศไทย มีพื้นที่ปลูกมะม่วงโดยรวมประมาณ 2 ล้านไร่ โดยพื้นที่รอยต่อจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ประกอบด้วยจังหวัดพิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย กำแพงเพชร และนครสวรรค์ คือแหล่งปลูกมะม่วงผืนใหญ่ของประเทศไทย เนื้อที่ปลูกโดยรวม 250,000 ไร่ ผลผลิตโดยเฉลี่ย ไร่ละ 1 ตัน
คุณสายันต์ กล่าวว่า ในปีนี้แหล่งปลูกมะม่วงในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง มีผลผลิตป้อนเข้าตลาดไม่ต่ำกว่า 100,000 ตัน สำหรับผลผลิตมะม่วงที่ปลูกในจังหวัดพิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ จะถูกรวบรวมมาขายในพื้นที่อำเภอสากเหล็ก จังหวัดพิจิตร ในช่วงฤดูการผลิต เดือนมีนาคม-เมษายน มีรถตู้คอนเทนเนอร์วิ่งรับส่งผลผลิตเข้าออกในอำเภอสากเหล็กไม่ต่ำกว่าเดือนละ 10,000 ตัน
ทุกวันนี้ อำเภอสากเหล็กเป็นแหล่งรวบรวมผลผลิตมะม่วงเพื่อการส่งออกในโซนภาคเหนือตอนล่าง โดยผลผลิตส่วนใหญ่ 50-60% ส่งออกไปขายประเทศญี่ปุ่น เกาหลี จีน รวมทั้งส่งขายประเทศเพื่อนบ้าน โดยใช้รถตู้คอนเทนเนอร์ขนส่งมะม่วงจากจังหวัดพิจิตรขนส่งผ่านชายแดนไปยังประเทศคู่ค้า
เช่น ประเทศเวียดนาม และ สปป.ลาว ใช้เวลาขนส่งสินค้าประมาณ 10 กว่าชั่วโมง ส่วนประเทศมาเลเซียจะขนส่งสินค้าผ่านด่านสะเดาและด่านสุไหงโก-ลก โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 25 ชั่วโมง ผลผลิตที่เหลืออีก 40% ส่งขายตลาดภายในประเทศ ผ่านช่องทางตลาดค้าส่ง เช่น ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดไท ห้างโมเดิร์นเทรด
วางแผนผลิต สู้ปัญหาวิกฤต
คุณสายันต์ กล่าวว่า เกษตรกรชาวสวนมะม่วงมีการเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างชาวสวนมะม่วงทั่วประเทศ ทำให้รู้ข้อมูลข่าวสารว่า มีแหล่งผลิตอยู่ที่ไหน มีผลผลิตออกมาเท่าไรในแต่ละเดือน ทำให้เกษตรกรสามารถวางแผนการผลิตได้ว่า ควรมีผลผลิตออกมาในช่วงไหน ให้ขายได้ราคาดีและมีคู่แข่งน้อย
พื้นที่ภาคกลาง มีฤดูมะม่วงปี ประมาณเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม ในอดีตเกษตรกรจังหวัดเชียงใหม่ปลูกมะม่วงนอกฤดู มีผลผลิตป้อนเข้าสู่ตลาดในช่วงเดียวกับจังหวัดพิษณุโลกและพิจิตร ทำให้ขายสินค้าไม่ได้ราคา เพราะลูกค้าไม่อยากเดินทางไกลไปซื้อสินค้าในภาคเหนือ
เกษตรกรผู้ปลูกมะม่วงในจังหวัดเชียงใหม่จึงหันมาปลูกมะม่วงล่าฤดูแทน โดยมีผลผลิตเข้าสู่ตลาดประมาณช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคมแทน อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ ชาวสวนมะม่วงสามารถวางแผนการผลิตให้มีผลผลิตป้อนเข้าสู่ตลาดตลอดทั้งปี สามารถกระจายความเสี่ยงในเรื่องผลผลิตล้นตลาดราคาตกต่ำได้ระดับหนึ่ง
ตลอดระยะเวลา 10 ปี ที่ผ่านมา เกษตรกรสามารถขายมะม่วงเกรดส่งออก ป้อนตลาดญี่ปุ่น ยุโรป เกาหลี ฯลฯ ได้ในราคากิโลกรัมละ 50 บาท หากขายผลผลิตในประเทศ จะมีรายได้ลดลงครึ่งหนึ่ง ในปีนี้ตลาดส่งออกได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด ทำให้ราคามะม่วงส่งออกเหลือแค่กิโลกรัมละ 25-30 บาท เท่านั้น ส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงราคาขายผลผลิตในประเทศเหลือแค่ 10-12 บาท ต่อกิโลกรัม ขณะที่ต้นทุนการผลิตมะม่วงโดยเฉลี่ยอยู่ที่กิโลกรัมละ 11 บาท
“ผมมีพื้นที่ปลูกมะม่วง 300 กว่าไร่ ใช้เงินลงทุน 2 ล้านบาท ผลกระทบจากวิกฤตโควิดในปีที่ผ่านมา ทำให้ผมขาดทุนไปแล้วกว่า 1 ล้านบาท ทุกวันนี้ไม่ต้องพูดคุยเรื่องผลกำไร แค่พยายามประคองกิจการให้อยู่รอด ขายผลผลิตหมด มีเงินทุนกลับมาสำหรับใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในฤดูผลิตต่อไป ก็พอใจแล้ว” คุณสายันต์ กล่าว
วอนรัฐสนับสนุนด้านโลจิติกส์และภาษี
ธุรกิจสวนมะม่วง เป็นอาชีพที่ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ให้เกษตรกรและแรงงานจำนวนมาก รวมทั้งเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศจำนวนมากในแต่ละปี สินค้ามะม่วงไทยมีคุณภาพดี แข่งขันด้านคุณภาพสู้กับสินค้ามะม่วงของต่างประเทศ เช่น เม็กซิโก ชิลี ฟิลิปปินส์ ฯลฯ ได้อย่างสบาย เพราะเป็นสินค้าคุณภาพดี มีศักยภาพทางการค้า มีโอกาสเติบโตบนเวทีตลาดโลกได้ในระยะยาว หากมะม่วงไทยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ เรื่องระบบโลจิติกส์ รวมทั้งสิทธิประโยชน์ทางการค้าในต่างประเทศ
“ทุกวันนี้ มะม่วงไทยแบกรับต้นทุนค่าขนส่งสูง และจ่ายภาษีนำเข้าค่อนข้างแพง เมื่อเทียบกับคู่แข่งขัน เช่น มะม่วงชิลี จ่ายภาษีนำเข้าในประเทศเกาหลีแค่ 6% แต่มะม่วงไทยเจอภาษีนำเข้าสูงถึง 27% ทำให้ราคามะม่วงไทยแพงกว่ามะม่วงชิลี ผู้นำเข้าเกาหลีจึงหันมากดราคารับซื้อมะม่วงไทย ทำให้เกษตรกรมีรายได้และผลกำไรลดลง จึงอยากให้หน่วยงานภาครัฐเปิดการเจรจาการค้ากับประเทศเกาหลี เพื่อขอโอกาสให้สินค้ามะม่วงไทยมีต้นทุนนำเข้าที่ต่ำลง สามารถส่งออกไปขายในประเทศเกาหลีได้เพิ่มมากขึ้น” คุณสายันต์ กล่าว
มะม่วง GAP ขายดี เป็นที่ต้องการของผู้ซื้อ
อาจารย์เขมชาติ มณีรอด เจ้าของสวนเขมชาติ (โทร. 086-926-8910) ตั้งอยู่เลขที่ 124 หมู่ที่ 5 ถนนเนินทองคำ ตำบลวังทรายพูน อำเภอวังทรายพูน จังหวัดพิจิตร ซึ่งเป็นหนึ่งในเกษตรกรผู้ปลูกมะม่วงเพื่อการส่งออก กล่าวว่า ปัจจุบัน สวนเขมชาติ ปลูกมะม่วง จำนวน 50 ไร่ ต้นมะม่วงที่ปลูกอายุ 11-12 ปี ให้ผลผลิตปีละ 20 กว่าตัน สวนเขมชาติไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิดสักเท่าไร เนื่องจากเน้นผลิตมะม่วงคุณภาพดี เกรดส่งออก มาตรฐาน GAP ทำให้สินค้าเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในประเทศและส่งออก
ทางสวนเขมชาติ ได้รับการสนับสนุนด้านวิชาการจากกรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร ในการยกระดับมาตรฐานการผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน GAP การใช้เทคโนโลยีเข้ามาจัดการบริหารจัดการผลผลิต จึงสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้ ในปีที่ผ่านมา วิกฤตโควิดทำให้ตลาดส่งออกสะดุดตัวลง ก็ได้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตลอดจนกระทรวงพาณิชย์เข้ามาจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด กระจายสินค้าออกนอกแหล่งผลิต รวมทั้งสนับสนุนให้เกษตรกรนำสินค้าออกไปจำหน่ายในงานแสดงสินค้าต่างๆ ทำให้ผ่านพ้นวิกฤตมาได้
FTA ช่วยเพิ่มโอกาสส่งออกมะม่วงไทย
คุณอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกมะม่วงไทยยังสามารถขยายตัวได้ดี แม้เผชิญสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปีผ่านมา เนื่องจากมะม่วงไทยได้ใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA ทำให้ตัวเลขการส่งออกในปีที่ผ่านมาสามารถขยายตัวได้ดีในประเทศจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ และกลุ่มประเทศอาเซียน
มะม่วงไทยคุณภาพดี เป็นที่ยอมรับในตลาดคู่ค้า โดยเฉพาะ 12 ประเทศคู่ค้า FTA ที่ประเทศไทยมีความตกลงการค้าเสรี ได้แก่ จีน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี เปรู บรูไน สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เมียนมา และฮ่องกง พบว่า FTA มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้การส่งออกผลไม้ของไทยขยายตัวมากขึ้น นอกจากนี้ ภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งไทยเพิ่งร่วมลงนามไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2563 ส่งผลให้ไทยสามารถผลักดันการลดภาษีเพิ่มเติมในสินค้าผลไม้ เช่น เกาหลีใต้ จะทยอยลดภาษีทุเรียนสดและมังคุดสด และเวียดนามจะทยอยลดภาษีส้ม จนเหลือ 0% ในปีที่ 10 หลังความตกลงมีผลใช้บังคับ เป็นต้น
“ปี 2563 แม้เกิดวิกฤตโควิด แต่มะม่วงไทยสามารถเติบโตได้ดี ในประเทศคู่ค้า FTA ของไทย เช่น สปป.ลาว ยอดส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้น 7% มาเลเซีย ยอดส่งออก ปี 2562 ขยายตัวแค่ 9% แต่ปีที่ผ่านมา ส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 300% ตลาดจีนต้องการสินค้าส้มโอและมะม่วงจากไทยมากขึ้น ตัวเลขส่งออกเติบโตถึง 17% ตลาดฮ่องกง ก็เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 72% อยากให้เกษตรกรชาวสวนมะม่วง ใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA ให้เต็มที่ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดส่งออกมะม่วงไทยในอนาคต” อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวในที่สุด