ผู้เขียน | หมอเกษตรทองกวาว |
---|---|
เผยแพร่ |
มะคาเดเมีย มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ออสเตรเลีย แต่มีนักธุรกิจชาวสหรัฐอเมริกา นำไปพัฒนาต่อยอดที่เกาะฮาวาย มะคาเดเมีย ชื่อดั้งเดิมคือ แมคคาเดเมีย ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติ แก่ มร.แมคคาดัม ชาวสก๊อตแลนด์ ด้วยท่านได้ทุ่มเทให้กับมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น แห่งออสเตรเลีย อย่างเต็มความสามารถ
สำหรับประเทศไทยนำเข้ามาทดลองปลูกในปี พ.ศ. 2496 จากฮาวาย มีการวิจัยพันธุ์มาอย่างยาวนาน ระยะแรกไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2515 สถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เริ่มพัฒนาการวิจัยอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง จนในที่สุด กรมวิชาการเกษตรได้รับรองพันธุ์มะคาเดเมียให้เป็นพันธุ์แนะนำ จำนวน 3 พันธุ์ คือ
พันธุ์เชียงใหม่ 400 เป็นพันธุ์เบา ทรงต้นขนาดเล็ก เปลือกผลบาง มีเนื้อใน 34-42 เปอร์เซ็นต์ เหมาะสำหรับปลูกบนที่สูง 400 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลางขึ้นไป
พันธุ์เชียงใหม่ 700 ทรงต้นตั้งตรง ขอบใบเป็นหนามมาก ผลใหญ่ กะลาบาง มีเนื้อผล 32-39 เปอร์เซ็นต์ ปลูกให้ผลดีบนที่สูง จากระดับน้ำทะเลปานกลาง 800 เมตรขึ้นไป
พันธุ์เชียงใหม่ 1000 ทรงต้นเป็นพุ่มกลม ให้เนื้อใน 34-38 เปอร์เซ็นต์ การเจริญเติบโตและให้ผลมีขนาดใหญ่ จึงให้ผลผลิตสูงกว่าอีก 2 พันธุ์ ที่กล่าวมา
ปัจจัยแวดล้อมสำคัญที่ต้องนำมาประกอบการพิจารณาเพื่อวางแผนการปลูกมะคาเดเมียให้ได้ผลดี ประกอบด้วย หน้าดินต้องลึก ระบายน้ำได้ดี มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 1,000 มิลลิเมตรต่อปี ต้องการอุณหภูมิ ระหว่าง 10-32 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะต้องผ่านอุณหภูมิ 18 องศาเซลเซียส อย่างน้อยเป็นเวลา 1 เดือน และอุณหภูมิไม่ควรเกิน 32 องศาเซลเซียส เพราะจะมีผลทำให้กะลาแข็งตัวเร็ว ส่งผลให้เนื้อในมีขนาดเล็กลงไปด้วย ประการสำคัญควรให้ได้รับแสงวันละไม่ต่ำกว่า 10-12 ชั่วโมง และต้องปลูกไม้กันลมให้ด้วย เนื่องจากมะคาเดเมียเป็นไม้ที่มีระบบรากตื้น การหักโค่นมักเกิดขึ้นได้ง่าย
สรุป กาญจนบุรี ยังไม่เหมาะที่จะปลูกมะคาเดเมีย ต้องการพันธุ์ปลูกและรายละเอียดต่างๆ ติดต่อสอบถามที่ สถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร เกษตรกลางบางเขน เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ในวันและเวลาราชการ
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก เมื่อวันศุกร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ.2560