ชมพู่น้ำดอกไม้ ไม้ผลโบราณของไทย หอม หวาน กรอบ สร้างอาชีพ สร้างรายได้

แวะมาเยี่ยมมาเยือน สวนลัคกี้ฮิลล์ ป่าละอู จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ป่าละอู มีภูมิอากาศค่อนข้างดี ฝนตกบ่อย และพิเศษไปกว่านั้นคือ มีละอองหมอกมากในหน้าฝนที่ยาวนาน หรือคำพังเพยที่ว่า ฝนแปดแดดสี่ เป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และแหล่งปลูกผลไม้ เช่น ชมพู่น้ำดอกไม้ ที่ทางสวนคือ คุณวันเพ็ญ ยุทธารักษ์ ได้ปลูกไว้ 700 กว่าต้น ในเนื้อที่กว่า 50 ไร่ ทำเป็นสวนผสม แบ่งแปลงปลูกชมพู่ เป็น 5 แปลงใหญ่ กระจายในพื้นที่ มีทั้งทุเรียนสายพันธุ์ต่างๆ กว่ายี่สิบสายพันธุ์ มะยงชิด รวมทั้งผลไม้แปลกๆ เช่น ละมุดสาลี่ยักษ์ มะม่วงยักษ์โชคไพบูลย์ เงาะ ลองกอง มังคุด และเลม่อน

คิดอย่างไร ถึงมาอนุรักษ์ ชมพู่น้ำดอกไม้ และนำมาต่อยอดเป็นธุรกิจ

คุณวันเพ็ญ ยุทธารักษ์ กล่าวว่า เดิมได้ปลูกชมพู่น้ำดอกไม้ที่สวนในจังหวัดปราจีนบุรี ปลูกแล้วมีความชอบเป็นการส่วนตัว คิดที่จะขยายการปลูก และคิดว่าปลูกชมพู่น้ำดอกไม้แล้วตลาดจะต้องไปได้ดี จึงขยายและย้ายมาปลูกเพิ่มที่ป่าละอู เพราะพอมีที่ดินอยู่บ้าง ชอบดินฟ้าอากาศที่บริสุทธิ์ของที่นี่ ปรากฏว่าได้ผลดีเกินคาด เหมือนกับที่ปราจีนบุรี ชมพู่น้ำดอกไม้ เป็นชมพู่พันธุ์ดั้งเดิมของไทย หน้าตาแปลกๆ มองผ่านนึกว่าเป็นลูกจันทน์และคล้ายลูกพลับ แต่มีมงกุฎ หรือกลีบเลี้ยงคล้ายมังคุดตรงก้น พอกัดแล้วมีกลิ่นหอมอ่อนๆ เหมือนกลิ่นดอกนมแมว ส่วนรสชาติหวานกว่าชมพู่ทั่วไป เนื้อมีความคล้ายชมพู่มะเหมี่ยว ชมพู่น้ำดอกไม้เป็นไม้ผลโบราณมากและหายาก แต่ตอนนี้กระแสเริ่มมา ราคาเริ่มดี เพราะเป็นผลไม้ที่มีทั้งสรรพคุณทางยาและคุณค่าทางอาหารสูง

คุณวันเพ็ญ ยุทธารักษ์ เจ้าของสวนชมพู่น้ำดอกไม้ กับผลผลิตที่ดกและผลมีขนาดใหญ่สมบูรณ์

ชมพู่น้ำดอกไม้ เป็นผลไม้ไทยโบราณที่นับวันจะหายากมากขึ้นเรื่อยๆ ผลสุกมีกลิ่นหอมแบบดอกกุหลาบ โตไวและเลี้ยงง่าย ผลไม้เก่าแก่ชนิดนี้กำลังจะสูญหายไปกับกาลเวลา คงถึงเวลาที่เราต้องเร่งอนุรักษ์กัน ด้วยรูปทรงที่สวยงาม สีสันของผล ความหวาน กรอบ และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว จึงทำให้เป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว นอกจากรสชาติแล้ว ยังปลูกง่าย โตเร็ว ให้ผลผลิตเร็ว เพียง 2-2 ปีครึ่ง ก็ให้ผลผลิตแล้ว ปลูกได้ง่าย เป็นทั้งไม้ผลและไม้ประดับที่ให้ร่มเงา สร้างรายได้เร็ว ผลเก็บไว้ในตู้เย็นได้นาน เหมาะสำหรับเป็น ผลไม้ที่ขายทางออนไลน์ โดยผลไม่ช้ำง่าย เหมาะสำหรับการทำธุรกิจสวนไม้ผลในภาวะปัจจุบัน สร้างรายได้จากสวนถึงมือผู้บริโภคโดยตรง ส่งทั่วประเทศไทย

และอีกอย่างหนึ่ง เป็นเพราะว่ารสชาติโบราณที่ถูกปากคนไทย เป็นผลไม้ที่มีรสหวาน กรอบ (หวานกว่าชมพู่ทั่วไป) ชิมแล้วบอกต่อ ที่สำคัญก็คือ เป็นผลไม้ปลูกแบบธรรมชาติจริงๆ ไม่จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมี ใช้แค่ปุ๋ยคอกและน้ำหมักชีวภาพก็เพียงพอแล้ว ซึ่งที่สวนได้ทดลองทำน้ำหมักขึ้นมาเอง ซึ่งก็ได้ผลค่อนข้างดีมาก เพราะไม้ผลชนิดนี้มาจากป่าธรรมชาติ การปลูกเลียนแบบธรรมชาติก็ได้ผลดีเช่นกัน

ระยะการเจริญเติบโตของชมพู่น้ำดอกไม้

การนำมาปลูกเป็นธุรกิจ หรือสวนไม้ผลนั้น การดูแลก็ง่ายขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการกำจัดวัชพืชก็ง่ายขึ้น เป็นการบริหารจัดการที่แบ่งพื้นที่บางส่วน ประมาณ 50 ไร่ ในการปลูกเป็นพืชเชิงเดี่ยวเชิงธรรมชาติ และทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวไปด้วย เป็นผลไม้ที่มีราคาดี สร้างรายได้ให้กับสวนได้เป็นอย่างดี

ความสวยที่กินได้ ลักษณะของผลเป็นลักษณะกลมแบนนั้น มีรสหวาน หอมอ่อนๆ ด้วยรูปทรงที่สวยงาม แปลกตาจากชมพู่ทั่วไป ทำให้เป็นที่สนใจของผู้บริโภค โดยเฉพาะคนไทยชอบกลิ่นหอมแบบนี้มาก

การปลูกชมพู่น้ำดอกไม้ กว่าจะถึงวันนี้ทางคุณวันเพ็ญได้ลองผิดลองถูกเรื่องของการปลูก การให้ปุ๋ย โดยเฉพาะการปลูกแบบธรรมชาติปลอดสารนั้นเหมือนโจทย์ใหญ่ ทำให้การศึกษาเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด มีโจทย์ให้เราได้ค้นหาอยู่ตลอด โดยเฉพาะเรื่องของการให้ปุ๋ยเพื่อให้ลูกดก และมีรสหวาน รักษาความสมดุลของดิน หรือเรียกว่าค่า ความเป็นกรดด่าง ถ้าเกิดความสมดุล ก็แทบจะไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง และคงความดกไว้ ทำให้ผลผลิตที่ได้เกินคุ้ม

คุณวันเพ็ญ กล่าวว่า “อยากจะอนุรักษ์ผลไม้พื้นเมืองของไทยและแถบเอเชียใต้ โดยเฉพาะในบ้านเรา ซึ่งหากินยาก แต่ปลูกง่าย ความสวยที่กินได้ ให้ทั้งร่มเงาและปลูกประดับบ้านก็ได้ สำหรับท่านที่มีพื้นที่น้อยก็สามารถปลูกเป็นไม้ประดับแบบร่มเงา ยังมีผลไม้แบบปลอดสารให้รับประทานเองที่บ้านอีกด้วย”

ชมพู่น้ำดอกไม้ เป็นผลไม้เก่าแก่กว่าชมพู่ทรงยาวทั่วไปอย่างบ้านเรา ชมพู่น้ำดอกไม้มี 2 สี สีแดง และสีเหลือง แต่พันธุ์ในบ้านเรามีสีเหลืองอมเขียว มีกลิ่นหอม…สีเหลืองสืบสายพันธุ์จากมาเลเซีย อินโดนีเซีย แต่ก็ขึ้นงอกงามได้ทั่วไปในป่าราบในบ้านเรา รสชาติจะหวาน ถ้ายังไม่แก่จัด ก็จะติดรสฝาดนิดๆ ถ้าแก่จัดจะหวาน กรอบ ให้ผลดกมาก ในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤษภาคม ถือว่าเป็นฤดูกาลหลักของชมพู่ นอกนั้นก็จะให้ผลผลิตประปราย มีให้กินเรื่อยๆ ทั้งปี

ส่วนสายพันธุ์สีแดง ได้แหล่งต้นพันธุ์มาจากแหล่งที่ปลูกทั่วๆ ไปในเมืองไทย ก็นำเมล็ดมาเพาะ และค้นพบได้ว่าสีแดงม่วงจะพบได้ทั่วไปทุกภาคในประเทศไทย เป็นไม้ยืนต้นสูงได้ถึงราวๆ 20 เมตร

มีทั้งสายพันธุ์สีแดงและสีเหลืองที่ปลูกได้ดีในบ้านเรารสชาติอร่อยเหมือนกัน

การตลาด และการขาย

ที่สวน ผลผลิตเฉลี่ย 700 ต้น ในเนื้อที่สวนผสม ประมาณ 50 ไร่ เฉลี่ยผลผลิตได้ประมาณ 3-4 ตัน ต้นที่มีอายุ 2 ปีขึ้นไป เฉลี่ยเก็บได้ ประมาณ 3-5 กิโลกรัม ต่อต้น ต้นที่มีอายุ 5 ปีขึ้นไป เก็บได้ทั้งหมด 25 กิโลกรัม ต่อต้น โดยสุกไล่เลี่ยกัน การทำสวนชมพู่น้ำดอกไม้เหมือนเป็นการศึกษาเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด ที่สวนปลูกพันธุ์สีแดงและสีเหลือง เรื่องของการบำรุงต้นที่สวนได้ทำน้ำหมักด้วยตนเอง โดยได้ลองผิดลองถูกมาจนได้น้ำหมักชีวภาพที่ทำให้ชมพู่เติบโตได้ค่อนข้างดี

ผลผลิตออกมามากในเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤษภาคม ต้นชมพู่ 700 ต้น เฉลี่ยทั้งสวนจะได้ผลผลิตประมาณ 4 ตัน ปัจจุบัน การตลาดในยุคนี้ส่วนมากขายทางออนไลน์เป็นส่วนใหญ่ ราคาต้นทุนจากสวน 150-200 บาท ถ้าคัดเกรดดับเบิ้ลเอ จะอยู่ที่กิโลกรัมละ 600 บาท (น้ำหนักต่อลูก ประมาณ 100 กรัมขึ้นไป) แต่ก็จะมีจำนวนไม่มาก ส่วนมากจะสั่งซื้อจากลูกค้า จากห้างใหญ่ที่ขายของเกรดพรีเมี่ยม

การห่อผล

จำเป็นมาก ในกรณีที่ปลูกแบบธรรมชาติปลอดสารพิษ แต่ก็มีบ้างที่มีแมลงวันทองมาเจาะวางไข่ พอแก่จัดเราจะเก็บเกี่ยวก็สร้างความเสียหายให้แก่สวนไม่น้อยเหมือนกัน การห่อผลที่ดีห่อด้วยถุงพลาสติกใส่ของใช้ทั่วไป หรือเรียกว่าถุงก๊อบแก๊บ จะได้ผลดีกว่าอย่างอื่นและต้นทุนต่ำด้วย การห่อผลยังทำให้ผิวเรียบเนียน และสีสวยงามอีกด้วย

ต้องห่อผลด้วยถุงพลาสติกใส ทำให้ได้สีและผิวเรียบเนียนสวยงาม

วิธีการปลูก และการขยายพันธุ์

ชมพู่น้ำดอกไม้ ทำได้ 2 วิธี คือ ใช้เมล็ด และกิ่งตอน

การปลูก ขุดดินให้ลึก กว้าง 50 เซนติเมตร แล้วนำเมล็ดหรือกิ่งตอนของชมพู่ลงปลูก เกลี่ยดินกลบ แล้วใช้ฟางข้าวปิดโคนต้นเพื่อช่วยเก็บความชื้น รดน้ำ 2 วัน ต่อครั้ง เมื่อปลูกแล้ว (ถ้าเป็นกิ่งตอน) ให้ทำไม้ปักยึดผูกกับต้น เพื่อป้องกันการโค่นล้ม โดนลม ป้องกันไม่ให้เฉา ควรปลูกใกล้คลอง เพราะชมพู่น้ำดอกไม้เป็นไม้ผลที่ชอบน้ำ ชมพู่น้ำดอกไม้จะเริ่มออกผลปลายฤดูหนาว ช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนพฤษภาคม ระยะห่าง 4×4 เมตร การดูแลรักษาง่าย ไม่ต้องฉีดยาฆ่าแมลง เพียงแต่ห่อผลด้วยถุงพลาสติก เพื่อป้องกันนก กระรอก และแมลง รบกวนเท่านั้น

ชมพู่น้ำดอกไม้ปลูกง่าย โตไว ให้ผลได้ภายใน 2 ปี

ลักษณะใบ จะเรียวยาวคล้ายใบมะม่วงขนาดเล็ก ผลคล้ายลูกจันทน์ เมื่อสุกมีกลิ่นหอมคล้ายดอกนมแมว ถ้าปลูกไว้ห่างจากบ้าน ประมาณ 2 เมตร จะได้กลิ่นหอมชื่นใจของดอกชมพู่ ผลมีน้ำหนัก ประมาณ 60-80 กรัม ถ้าบำรุงต้นดีๆ ก็จะให้ลูกโตถึง 100 กรัม หรือขนาดเท่าๆ กับลูกมังคุด ความหวาน 16 องศาบริกซ์ (หวานกว่าชมพู่ทุกชนิด) เนื้อกรอบ แต่ถ้าปล่อยให้สุกงอมมากเนื้อจะนุ่มน่ากิน

มารู้จักที่มาของชมพู่น้ำดอกไม้

ชื่อวิทยาศาสตร์ Syzygium jambos (L.) Alston จัดอยู่ในวงศ์ชมพู่ (MYRTACEAE)[1] ชมพู่น้ำดอกไม้ มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า มะชมพู่ มะน้ำหอม (พายัพ), ชมพู่น้ำ ฝรั่งน้ำ (ภาคใต้), มะห้าคอกลอก (แม่ฮ่องสอน), มซามุด มะซามุต (น่าน), ยามูปะนาวา (มลายู-ยะลา)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ เป็นชมพู่พันธุ์ดั้งเดิมของไทย มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคอินโด-มาลายัน ในประเทศไทยพบได้ทั่วทุกภาค โดยจัดเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง เช่นเดียวกับชมพู่แดง มีความสูงของต้น ประมาณ 10 เมตร เปลือกต้นค่อนข้างเรียบ เป็นสีน้ำตาล ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและวิธีการตอนกิ่ง เจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีความชื้นพอเหมาะ ชอบแสงแดดส่องถึงแบบเต็มวัน ในปัจจุบันมีสายพันธุ์หลักอยู่ 2 สายพันธุ์ คือ พันธุ์ที่มาจากประเทศไทย ผลจะเป็นสีเหลืองและพันธุ์ที่มาจากประเทศมาเลเซีย ผลจะเป็นสีแดง โดยจะให้ผลหลังการปลูกประมาณ 2 ปี มักขึ้นตามป่าราบทั่วไป พบปลูกกันบ้างตามสวนเพื่อเก็บไว้กินหรือขายเป็นสินค้า

สรรพคุณทางยา ชมพู่น้ำดอกไม้ เป็นทั้งยาสมุนไพร เช่น

ใบ และ เปลือกของลำต้น ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ

เมล็ด ใช้ในการป้องกันโรคท้องร่วง โรคบิด และโรคหวัด แก้เบาหวานและแก้ท้องเสีย

ผล ใช้ปรุงเป็นยาหอม ชูกำลัง บำรุงหัวใจ แก้ลม

ชมพู่น้ำดอกไม้ อุดมด้วยวิตามินมากมาย ตั้งแต่ วิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 บี 3 วิตามินซี มีแคลเซียม ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม แมงกานีส ฟอสฟอรัส และสังกะสี ที่สำคัญคือ ลดคอเลสเตอรอล (อ้างอิง พีรศักดิ์ วรสุนทโรสถ และคณะ. ทรัพยากรพืชในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 2 : ไม้ผลและไม้ผลเคี้ยวมัน. กทม. สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย. 2544. หน้า 412-414, https://medthai.com)

คุณวันเพ็ญ ยุทธารักษ์ กับชมพู่น้ำดอกไม้ที่บรรจุถุง เตรียมส่งลูกค้า

สมมุติฐานของการตั้งชื่อ “ชมพู่น้ำดอกไม้” ก็คงมาจากกลิ่น เพราะมีผลที่กินได้ มีกลิ่นหอม ถึงไม่แรงมากแต่กลิ่นแตกต่างกับผลไม้ทั่วไป ที่มีกลิ่นหอม สมัยโบราณน่าจะนำมากินเพื่อให้มีกลิ่นปากที่หอมจากภูมิปัญญาชาวบ้านในสมัยโบราณ

การปลูกชมพู่น้ำดอกไม้ นอกจากเป็นการอนุรักษ์พันธุ์ไม้ ซึ่งเป็นเหมือนต้นไม้โบราณของไทยไม่ให้สูญพันธุ์ไป ยังสร้างรายได้ค่อนข้างดี เป็นผลไม้ที่เป็นทางเลือกของเกษตรกร นอกจากผลที่มีรสชาติหวานและกลิ่นหอมเฉพาะตัวแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาสมุนไพร และสารอาหารต่างๆ มากมาย

ด้วยเหตุนี้ ชมพู่น้ำดอกไม้ จึงยังเป็นที่ต้องการของตลาดและสามารถขายได้ราคาดีมากกว่าผลไม้อีกหลายๆ ชนิด เพราะฉะนั้นการปลูกต้นชมพู่น้ำดอกไม้จึงน่าสนใจ และทางคุณวันเพ็ญจึงเป็นส่วนหนึ่งของการปลูกไม้ผลชนิดนี้ ทั้งเพื่อเป็นการอนุรักษ์และเป็นทั้งการค้าที่สร้างรายได้ให้แก่สวนไม่น้อยเลยทีเดียว

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คุณวันเพ็ญ ยุทธารักษ์ สวนลัคกี้ฮิลล์ เลขที่ 66 หมู่ที่ 1 ตำบลห้วยสัตว์ใหญ่ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 77110 เบอร์โทร. 092-805-8689

ผลผลิตชมพู่น้ำดอกไม้ สีสันสวยงาม หวานกรอบ น่ารับประทาน

เผยแพร่ครั้งแรก วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ.2564