ผู้เขียน | ธาวิดา ศิริสัมพันธ์ |
---|---|
เผยแพร่ |
คุณอรณี สำราญรื่น หรือ พี่หยก อยู่ที่ 16 หมู่ที่ 8 ตำบลโพนทอง อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์หญิงเก่งแห่งเมืองกาฬสินธุ์ ประสบความสำเร็จจากการปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ จากจุดเริ่มต้นการปลูกเพื่อเลี้ยงสัตว์ จนกลายเป็นงานสร้างรายได้แซงทุกอาชีพที่เคยทำมา และที่สำคัญยังกลายเป็นอาชีพสร้างรายได้กระจายสู่ชุมชนได้อีกด้วย
พี่หยก เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์เป็นอาชีพว่า ก่อนที่จะหันมาเป็นเกษตรกรตนเองทำงานอยู่ที่ประเทศไต้หวันมาก่อน เพิ่งจะหันมาปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์ตอนปี 51 เริ่มแรกปลูกเพื่อไว้ใช้เลี้ยงสัตว์ภายในฟาร์มของตนเอง และมองข้ามไปเลยว่าหญ้าที่ตนเองปลูกไว้จะสามารถขายได้ จนกระทั่งวันหนึ่งได้มีคนมาขอซื้อหญ้าที่ปลูกไว้จึงเป็นจุดประกายไอเดียขึ้นมาว่าจะปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์เชิงการค้าและได้กลายเป็นอาชีพสร้างรายได้ดีมาจนถึงปัจจุบัน

ปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์ 80 ไร่
หลากหลายสายพันธุ์
สร้างรายได้หลายแสนต่อเดือน
เจ้าของบอกว่า หลังจากที่ตัดสินใจจะปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์เป็นอาชีพ ก็เริ่มทำการขยายพื้นที่ปลูกเรื่อยๆ จนปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์ทั้งหมด 80 ไร่ โดยแบ่งปลูกหลากหลายสายพันธุ์ เพื่อให้ตรงต่อความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งหญ้าหวานอิสราเอล หญ้าเนเปียร์แคระ หญ้าเนเปียร์ท้ายเขื่อนซุปเปอร์ลีฟ หญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1 หญ้าเนเปียร์นรกจักรพรรดิ และการแปรรูปทำอาหารหมัก ซึ่งสามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าหลักได้ 4 กลุ่ม ดังนี้
- ลูกค้ากลุ่มเลี้ยงสัตว์ใหญ่ เช่น โคเนื้อ โคนม โคขุน จะต้องการหญ้าเนเปียร์นรกจักรพรรดิ ตอบโจทย์เรื่องของปริมาณ ทนแล้งน้ำหนักดี และหญ้าหวานอิสราเอล มีสารอาหารเยอะ
- ลูกค้ากลุ่มเลี้ยงสัตว์ขนาดเล็ก เช่น แพะ แกะ เป็ด ไก่ และปลา จะต้องการหญ้าหวานอิสราเอล ตอบโจทย์ด้านสารอาหารเหมาะสำหรับสัตว์เล็ก และหญ้าเนเปียร์ท้ายเขื่อนซุปเปอร์ลีฟ
- ลูกค้ากลุ่มที่ซื้อเพื่อนำไปปลูกขยายพันธุ์และขายต่อเป็นมัด จะแนะนำให้ปลูกหญ้าเนเปียร์ท้ายเขื่อนซุปเปอร์ลีฟ โตไว ใบเยอะ ลำต้นอ่อน ตอบโจทย์ผู้ที่ปลูกเชิงการค้า
- ลูกค้ากลุ่มที่ต้องการอาหารสัตว์แปรรูป นิยมนำหญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1 และหญ้าเนเปียร์นรกจักรพรรดิ แปรรูปทำหญ้าหมักจะเก็บรักษาไว้ได้นาน เพราะหากถ้าเป็นหญ้าสดจะเก็บได้แค่ 3-4 วัน แต่เมื่อนำมาแปรรูปจะสามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน 1-2 เดือน จะทำให้ลดต้นทุน ลูกค้าไม่ต้องมาซื้อบ่อย สามารถขายได้จำนวนมากต่อครั้ง และสามารถส่งขายตามต่างจังหวัดได้สะดวกขึ้น

เทคนิคการปลูก
วิธีการปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์ทุกสายพันธุ์จะมีวิธีการปลูกคล้ายๆ กัน จะแตกต่างกันตรงที่ฤดูกาลที่ปลูก และวิธีการเก็บเกี่ยววิธีใดใช้แรงงานคน หรือใช้เครื่องจักรในการเก็บเกี่ยว
การเตรียมแปลง…เกษตรกรผู้ปลูกทำให้ดินร่วนให้ได้มากที่สุด กำจัดวัชพืชออกให้หมดอย่าให้หลงเหลือ แล้วเตรียมระบบน้ำ สำคัญที่สุดคือหลังปลูกดินต้องชุ่ม หากปลูกทิ้งไว้แล้วไม่มีน้ำรด จะส่งผลต่อการเจริญเติบโตได้ไม่ดีเท่าที่ควร และแนะนำให้ปลูกแบบชักร่อง จะทำให้เจริญเติบโตได้ดีกว่าการปลูกแบบธรรมดา และการบริหารจัดการน้ำจะง่ายและสะดวกกับเกษตรกรมากกว่าด้วย

การปลูก…หากใช้แรงงานคนตัดให้ปลูกในระยะห่างระหว่างแถว 80 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างต้น 60 เซนติเมตร แต่ถ้าใช้เครื่องจักรในการเก็บเกี่ยวแนะนำปลูกระยะห่างระหว่างแถวอย่างน้อย 1.20 เมตร ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 40-50 เซนติเมตร โดยวิธีการปลูกสามารถปลูกเป็นท่อนพันธุ์ หรือปลูกทั้งลำเหมือนอ้อยก็ได้
โดยที่ฟาร์มจะเลือกปลูกทั้ง 2 แบบ ให้เหมาะสมตามฤดูกาล เช่น หากเป็นช่วงฤดูฝน จะใช้วิธีการปลูกโดยใช้ท่อนพันธุ์ เนื่องจากหากลงทั้งลำจะทำให้น้ำขัง เจริญเติบโตได้ไม่ดี แต่ถ้าใช้ท่อนพันธุ์ในการปลูกจะเจริญเติบโตได้ดีกว่า เพราะน้ำไม่ขังและดินไม่แน่น และที่สำคัญการปลูกต่อหลุมถ้าจะให้ดีต้องใช้ 2 ท่อนต่อหลุม 1 ไร่ ใช้ประมาณ 4,800 ท่อน และถ้าหากเป็นฤดูฝน จะเหมาะกับการปลูกแบบทั้งลำ เพราะดินเย็นและน้ำไม่ขัง และเหมาะสำหรับหญ้าสายพันธุ์เนเปียร์แคระ เนเปียร์ปากช่อง 1 เนเปียร์นรกจักรพรรดิ และท้ายเนเปียร์ท้ายเขื่อนซุปเปอร์ลีฟ โดยให้ความสูงของต้นไม่เกิน 1 เมตร จากนั้นใช้ดินกลบ แล้วปล่อยน้ำตามทันที
ระบบน้ำ…คือที่ฟาร์มโชคดีตรงที่แปลงปลูกอยู่ใกล้กับโรงงานผลิตแป้งมัน ก็จะใช้โอกาสตรงนี้ผันน้ำจากโรงงานมาใช้รดหญ้าภายในแปลง ซึ่งเป็นน้ำที่ผ่านการบำบัดมาแล้ว ช่วยลดต้นทุน ไม่ต้องใส่ปุ๋ย หรือบำรุงใดๆ แต่ถ้าที่อื่นไม่มีน้ำบำบัดจะต้องใส่ปุ๋ยเพื่อบำรุง และต้องขอบอกว่าน้ำบำบัดจากโรงงานนี้หากใช้รดพืชชนิดอื่น เช่น มันสำปะหลังและใช้ในนาข้าว จะใช้ไม่ได้ผลจะมีแต่ใบ อันนี้ถือว่าเป็นความโชคดีของที่ฟาร์ม เพราะน้ำคือปัจจัยสำคัญในการปลูกหญ้า ถ้ามีน้ำไม่เพียงพอแนะนำว่าอย่าปลูก เพราะจะได้ผลผลิตไม่ดี หรือถ้ารอแต่น้ำฝนก็จะได้เกี่ยวได้แต่เฉพาะในฤดูฝน ได้ผลผลิตไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ที่ฟาร์มมีน้ำจากโรงงานใช้อยู่ตลอด ทำให้สามารถผลิตหญ้าให้เก็บได้ทั้งปี และยังได้ผลผลิตในปริมาณที่มากอีกด้วย
โดยที่ฟาร์มจะให้น้ำจากบนลงล่างโดยการปล่อยตามร่อง หรือบางท่านถ้าน้ำน้อยก็สามารถใช้ระบบสปริงเกลอร์หรือน้ำหยดได้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือหลังปลูกถ้าใช้ระบบสปริงเกลอร์ต้องไถพรวน แต่ถ้าปลูกตามร่องจะง่ายกว่า และดินจะชุ่มกว่าระบบน้ำหยดและน้ำพุ่ง ส่วนความถี่ในการให้น้ำ คือหลังปลูกต้องให้น้ำทันทีเพราะดินแห้ง หลังจากนั้น สังเกตสภาพดินอย่าให้แห้ง หากดินแห้งให้รดน้ำ 3-4 วันครั้ง หรือ 7-10 วันครั้ง มีข้อแม้ว่าอย่าทิ้งระยะไว้นานเกิน 2 สัปดาห์
ปุ๋ย…แนะนำสำหรับเกษตรกรท่านอื่นๆ ถ้าไม่มีปุ๋ยเคมีใส่ ให้ใช้ปุ๋ยมูลสัตว์ใส่ได้ทุกชนิด แต่ถ้าหากพื้นที่ใดหาปุ๋ยขี้เป็ดหรือขี้ไก่ได้จะดีมาก จะทำให้พืชโตและงามกว่าการใส่ขี้วัวและขี้ควาย
ระยะปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว…ขึ้นอยู่แต่ละสายพันธุ์ หากเป็นหญ้าเนเปียร์แคระ เนเปียร์ปากช่อง 1 เนเปียร์นรกจักรพรรดิ และเนเปียร์ท้ายเขื่อนซุปเปอร์ลีฟ ตัดเกี่ยวได้ 5-6 ครั้งต่อปี ได้หญ้าสดประมาณ 8-10 ตันต่อไร่ต่อครั้ง ส่วนหญ้าหวานอิสราเอลเหมาะกับการใช้แรงงานคนเก็บเกี่ยว ไม่เหมาะกับการใช้เครื่องจักร อายุการเก็บเกี่ยวรอบแรก 3 เดือน รอบต่อไปประมาณ 35-45 วัน

อุปสรรคในการปลูก
- 1. น้ำคือสิ่งสำคัญ แนะนำสำหรับพื้นที่มีแหล่งน้ำไม่เพียงพอ และเรื่องของการดูแลรักษา คือไม่สามารถไถพรวนได้เพราะไม่มีแรงงาน ไม่มีเครื่องจักร จะให้ผลผลิตได้ไม่ดี
- 2. อย่าปล่อยให้หญ้าขึ้นสูงมากจนเกินไป จะเป็นปัญหาตอนที่ลมกับฝนมาพร้อมกันจะทำให้ต้นล้ม ซึ่งจะมีปัญหาเหมือนกันทุกสายพันธุ์ ยกเว้นหญ้าหวานอิสราเอล

ตลาดอยู่ที่ไหน
ราคาขาย…เป็นไปตามฤดูกาล 1. ขายหญ้าสด ในฤดูหนาวจำนวน 5-6 มัด น้ำหนักรวมประมาณ 7-8 กิโลกรัม ราคา 100 บาท แต่ถ้าเป็นฤดูฝนจะเพิ่มจำนวนมัดขึ้นมาเป็น 8-10 มัด แต่ขายในราคา 100 บาท เท่าเดิม เนื่องจากฤดูฝนมีผลผลิตออกมาเยอะพร้อมๆ กัน 2. หญ้าหมักแปรรูป 30 กิโลกรัม ราคา 50 บาท ขายราคาเดียวตลอดทั้งปี และ 3. ท่อนพันธุ์ เนเปียร์แคระ เนเปียร์นรกจักรพรรดิ เนเปียร์ปากช่อง 1 เนเปียร์ท้ายเขื่อนซุปเปอร์ลีฟ และหญ้าหวานอิสราเอล จำหน่ายท่อนละ 2 บาท
รายได้…เมื่อหักต้นทุนแล้วเหลือกำไร 50-60 เปอร์เซ็นต์ ยอดขายต่อเดือนคิดเป็นเม็ดเงินแล้วสร้างรายได้มากถึงเดือนละ 200,000-300,000 บาท เมื่อหักต้นทุนออกก็จะเหลือกำไรเกือบครึ่งต่อครึ่ง
เจ้าของบอกว่า หญ้าเลี้ยงสัตว์เป็นอะไรที่คนยังมีความต้องการสูง เพราะคนต้องบริโภคเนื้อสัตว์อยู่ทุกวัน และสัตว์ก็ยังต้องกินอาหารทุกวัน เพราะฉะนั้น ตลาดยังไปได้อีกไกลแน่นอน ยกตัวอย่างของที่ฟาร์ม จะมีลูกค้าทั้งในจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียง และมาประจวบเหมาะกับที่จังหวัดกาฬสินธุ์อยู่ใกล้กับจังหวัดที่มีสหกรณ์โคนมทั้งหมด เช่น จังหวัดมหาสารคาม ขอนแก่น สกลนคร อุดรธานี ทำให้สามารถขยายตลาดได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงตลาดเพื่อนบ้านคือ ลาวและกัมพูชา ที่ก่อนหน้าที่เกิดโควิด-19 เขามีความต้องการหญ้าเลี้ยงสัตว์จากไทยสูงมาก

แนะนำมือใหม่หัดปลูก
ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง?
สำหรับเกษตรกรมือใหม่ที่มีความสนใจในการปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์เพื่อสร้างรายได้ พี่หยกแนะนำว่า 1. ต้องคำนึงถึงศักยภาพของตนเองก่อนว่าหากปลูกแล้วจะสามารถดูแลได้ดีแค่ไหน เพราะหากจะปลูกเป็นอาชีพให้สามารถเลี้ยงตัวเองได้ต้องมีพื้นที่อย่างน้อย 3-5 ไร่ การดูแลถือเป็นปัจจัยสำคัญในการให้ผลผลิต 2. น้ำ ผู้ปลูกหากจะให้มีผลผลิตเก็บเกี่ยวได้ตลอดทั้งปีแหล่งน้ำคือสิ่งจำเป็น 3. เริ่มทำการตลาดตั้งแต่เริ่มปลูก พยายามเรียนรู้และใช้สื่อออนไลน์ในการขาย 4. พื้นที่ ต้องคำนึงด้วยว่าพื้นที่ปลูกอยู่ใกล้กับพื้นที่ทำปศุสัตว์เยอะหรือไม่ หากอยู่ใกล้ก็จะง่ายต่อการทำตลาด การขนส่งทั้งกับตัวเองและลูกค้าด้วย ข้อนี้ก็สำคัญเพราะบางทีตรงที่เราปลูกไม่มีคนเลี้ยงสัตว์ก็จะเปลืองต้นทุนค่าขนส่งระยะทางไกล
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทร. (084) 409-6115 หรือติดต่อได้ที่เพจเฟซบุ๊ก : หยกฟาร์ม ดินแดนหญ้าอาหารสัตว์


