ส่องทิศทางการสร้างรายได้ หลัง “ปลดล็อกพืชกระท่อม” ผ่านมุมมอง “นิพนธ์ สุขสะอาด” เกษตรจังหวัดนครศรีธรรมราช

ในวันที่ 24 สิงหาคม 2564 ประเทศไทยเริ่มมีผลบังคับใช้ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ปลดล็อกพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติด ประเภทที่ 5 เสียงตอบรับด้วยความตื่นเต้นยินดีจากฝ่ายต่างๆ ก็ดังขึ้นทันที เพราะนั่นหมายความว่าจากนี้ไปการปลูกพืชกระท่อม การนำเข้า การส่งออกเชิงพาณิชย์ การขาย ในระบบอุตสาหกรรม รวมถึงการนำมาบริโภคได้อย่างเสรี ไม่ผิดกฎหมายอีกต่อไป

ตามนโยบายรัฐบาล ต้องการผลักดันให้เป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ สามารถส่งขายเชิงพาณิชย์ หรืออุตสาหกรรมได้ เพื่อสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรไทย แต่ยังคงมีข้อห้ามในการนำพืชกระท่อมไปผสมกับสารเสพติดชนิดต่างๆ เช่น 4×100 ถือเป็นความผิดทางกฎหมาย ส่วนทิศทางการสร้างรายได้หลังที่มีการ “ปลดล็อกพืชกระท่อม” ควรจะเป็นไปในรูปแบบไหน สำหรับเกษตรกรที่ต้องการปลูกควรเตรียมตัวอย่างไร สามารถหาคำตอบได้จาก บทสัมภาษณ์พิเศษ คุณนิพนธ์ สุขสะอาด เกษตรจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ในฉบับนี้

คุณนิพนธ์ สุขสะอาด เกษตรจังหวัดนครศรีธรรมราช

ความเป็นมาของพืชกระท่อม กับพี่น้องชาวใต้

สืบเนื่องจาก วันที่ 24 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา ประเทศไทยเริ่มมีผลบังคับใช้ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ปลดล็อกพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติด ประเภทที่ 5 ถือเป็นสัญญาณที่ดีให้กับพี่น้องเกษตรกรไทย ให้มีอิสระเสรีในการปลูก บริโภค โดยที่ไม่ผิดกฎหมาย

“ในทันทีที่มีการปลดล็อกก็หมายถึงการสร้างโอกาส เพิ่มช่องทางในการทำมาหากินให้กับชาวบ้านได้อีกช่องทางหนึ่ง โดยเฉพาะกับพี่น้องชาวใต้ที่มีความคุ้นเคยกับพืชกระท่อมกันมาช้านาน จนแทบจะเป็นชีวิตประจำวันที่เมื่อถึงเวลารุ่งเช้าก่อนออกจากบ้านไปทำกิจการงานเกษตร ก็เป็นอันต้องแวะเก็บใบกระท่อมติดไม้ติดมือไปด้วยเสมือนเป็นของคู่กาย เมื่อถึงยามสายหยิบใบกระท่อมออกมาเคี้ยวกินเป็นยาขยัน หรือในบางครัวเรือนกินเพื่อเป็นสมุนไพรเพื่อรักษาโรค จนไปถึงขั้นปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจ สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับผู้ปลูกจนสามารถสร้างรายได้ส่งเสียลูกเรียนให้จบสูงได้ แต่ในเวลาต่อมาได้มีการบังคับใช้กฎหมายกับพืชกระท่อม วิถีชีวิตของพี่น้องชาวใต้ก็เปลี่ยนไป เนื่องจากเริ่มมีคนนำเอาใบกระท่อมไปใช้ในทางที่ผิดมากขึ้น เช่น การนำไปดัดแปลงผสมกับสารเสพติดที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น จึงส่งผลให้ต้องมีการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มข้นตามลำดับ ไปสู่การจับกุม และมีการโค่นทำลายแหล่งปลูกพืชกระท่อมกันยกใหญ่” คุณนิพนธ์ กล่าว

ใบกระท่อม

พื้นที่ปลูกยังมีไม่มาก อยู่ในขั้นตอนของการขยายพันธุ์
มีกระแสตอบรับที่ดีจากทุกหย่อมหญ้า

สำหรับพื้นที่การปลูกพืชกระท่อม ในจังหวัดนครศรีธรรมราช
คุณนิพนธ์ ให้ข้อมูลว่า พื้นที่การปลูกกระท่อมในจังหวัดนครศรีธรรมราชยังมีไม่มาก เนื่องจากตามที่ได้กล่าวข้างต้นว่า ก่อนหน้านี้มีการบุกทำลายแหล่งผลิตไปจนเกือบหมด ทุกคนยังอยู่ในสภาวะสงบนิ่ง คือไม่กล้าที่จะปลูก ซึ่งภายหลังจากที่กระทรวงยุติธรรมปลดล็อกให้พืชกระท่อมไม่เป็นยาเสพติดให้โทษอีกต่อไป ก็เหมือนเป็นการได้เปิดประตูเขื่อน น้ำทะลักเข้ามา เหมือนกับเป็นการจุดประกายความคิด ความฝัน ของเกษตรกรหรือผู้ที่สนใจก็ได้หลั่งไหลพรั่งพรูออกมา ให้เห็นถึงทิศทางการสร้างรายได้ ในเรื่องของการต่อยอดหวังให้พืชกระท่อมกลับมาเป็นพืชเศรษฐกิจอีกครั้ง ด้วยการคิดนำเอาต้นกระทุ่มมาเป็นต้นตอเสียบยอดขยายพันธุ์ด้วยกระท่อมพันธุ์ดี การเพาะกล้า รวมถึงการจ้างแรงงาน สร้างรายได้ให้เกิดในชุมชน โดยเฉพาะในชุมชนที่มีผู้นำที่มีหัวก้าวหน้า หรือมีความสามารถในเชิงธุรกิจ ได้มีการรวมกลุ่มจัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชนขึ้นมา เพื่อที่จะขยายพันธุ์ไว้รองรับการตลาดให้กับเกษตรกร หรือคนทั่วไปที่มีความสนใจที่จะปลูกกระท่อม จึงสรุปได้ว่า ณ ขณะนี้พื้นที่ปลูกยังมีไม่มาก ยังอยู่ในขั้นตอนของการเริ่มต้น ในขณะที่ผู้คนทุกหย่อมหญ้า ไม่ว่าจะเป็นคนที่อาศัยอยู่ในเมืองก็ยังสนใจที่จะปลูกต้นกระท่อมไว้ติดบ้านเป็นยาสัก 1-2 ต้น หรือเกษตรกรชาวสวนมีความต้องการที่จะปลูกกระท่อมเป็นพืชเศรษฐกิจในครัวเรือน เก็บใบขาย หรือบางคนมีความคิดถึงขั้นว่าจะทำในรูปแบบของกลุ่มเครือข่ายสร้างอาชีพรองรับ ไม่ว่าจะเป็นการขยายพันธุ์ การเก็บใบขาย การแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มชูกำลังในอนาคต

ขยายพันธุ์โดยการเสียบยอด
มีฝีมือในการขยายพันธุ์

การสร้างอาชีพ สร้างรายได้ในชุมชน

ในส่วนของแนวทางการตลาดของพืชกระท่อม คุณนิพนธ์ ขอตอบในมุมมองของเกษตรจังหวัดว่า ตั้งแต่พืชกระท่อมได้มีการปลดล็อก ถือเป็นการส่งสัญญาณในเชิงเศรษฐกิจที่ดี เริ่มต้นจากในแง่ของการสร้างรายได้ในชุมชน อย่างเช่น การบริโภคกระท่อมแล้วทำให้ขยัน สู้แดด สามารถทำงานได้ดี ไม่มีเสียการเสียงาน อันนี้ถือเป็นการสร้างประโยชน์ในรายบุคคล คือบริโภคแล้วไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร และไม่เกิดเหตุการณ์ทะเลาะเบาะแว้งกันเกิดขึ้น ซึ่งในจุดนี้จึงมองว่าเป็นข้อดี เพราะถ้าคนขยันย่อมเป็นผลดีในเชิงเศรษฐกิจอยู่แล้ว แต่ถ้าหากจะมองให้เห็นอย่างชัดเจนคือ จากคนที่เคยว่างงาน ก็กลับมามีรายได้ จากต้นกระทุ่ม ที่เคยเป็นวัชพืชโค่นทิ้งก็ไม่ตาย ตอนนี้กลายเป็นพืชที่หายากมาก ถึงขั้นต้องมีการสั่งจองกันล่วงหน้า และมีราคาแพง อันนี้ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเห็นได้ชัด ในแง่ของการจ้างแรงงาน การกระจายรายได้ โดยทั้งนี้ทั้งนั้นทุกอย่างต้องทำตามระเบียบกฎหมายอย่างเคร่งครัด และต้องไม่มีการนำกระท่อมมาใช้ผิดประเภทที่ทำให้เสื่อมเสียต่อร่างกาย และสิ่งที่สำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจภายในชุมชนขยายไปได้โดยเร็วคือการพัฒนาในเรื่องของการแปรรูป เพื่อให้เข้าสู่มาตรฐานอันนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญ อาจจะมีการจัดตั้งเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนขึ้นมา หรือทำแปลงใหญ่ ทำร่วมกันไปตั้งแต่การพัฒนาสายพันธุ์ การค้นคว้าหาสายพันธุ์ที่มีสารสำคัญที่จะสามารถนำไปแปรรูปเป็นเครื่องดื่มประเภทชา หรือเครื่องดื่มชูกำลัง หรือในทางการนำไปทำเป็นยาสมุนไพร แบบไหนดีอย่างไร คงต้องมีการวิจัยควบคู่กันไป และในอนาคตอีกสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือการทำมาตรฐาน GAP เพราะอย่าลืมว่าใบกระท่อมเป็นพืชอาหาร ถ้าหากไม่มีการควบคุมในการใช้สารเคมี อาจส่งผลเสียเกิดขึ้นตามมามากมาย

เพราะฉะนั้นผู้ปลูกทุกท่านควรมีการผลิตตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ปลอดภัย ใครจะนำไปแปรรูปเป็นเครื่องดื่ม หรือเป็นอีกหลากหลายผลิตภัณฑ์ในอนาคตก็แล้วแต่ความคิดของแต่ละคน แต่อย่างน้อยผลิตภันฑ์ที่ทำอยู่ ต้องสะอาด และมีมาตรฐานสากลรองรับ ถือเป็นเรื่องที่จำเป็น

ต้นตอกระทุ่มเสียบด้วยยอดกระท่อม

ปลดล็อกแล้ว ใครปลูกได้บ้าง?
เลือกต้นพันธุ์แบบไหน? ไม่ให้ถูกหลอก

เบื้องต้นตามกฎหมายการปลดล็อก คือตอนนี้ใครก็สามารถปลูกกระท่อมได้ โดยไม่ต้องขอใบอนุญาติใดๆ แต่สิ่งที่ห้ามทำและยังผิดกฎหมายอยู่คือ ห้ามนำไปทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย คือ 1. การนำไปผสมในสารเสพติด เช่น 4×100 2. ห้ามขายให้ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี 3. ห้ามขายให้สตรีมีครรภ์ 4. ห้ามขายในสถานศึกษา-วัด และ 5. กรณีส่งออก นำเข้า หรือทำผลิตภัณฑ์ ต้องขออนุญาต

“ในขั้นตอนของการคัดเลือกสายพันธุ์ เบื้องต้นกระท่อมที่พบในประเทศไทยมีอยู่ 3 สายพันธุ์ คือ 1. ก้านเขียว 2. ก้านแดงหางกั้ง และ 3. ก้านแดง มักพบมากในป่าธรรมชาติบริเวณภาคใต้ ซึ่งจากการที่ได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนกับชาวบ้านก็ได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กระท่อมทั้ง 3 สายพันธุ์นี้จะมีสารสำคัญที่แตกต่างกันออกไป รวมถึงรสชาติของใบที่มีไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้ประโยชน์ และสำหรับท่านที่จะนำไปทำในเชิงอุตสาหกรรมน่าจะต้องมีการเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมเพื่อนำไปแปรรูป

ส่วนท่านใดที่คิดจะปลูก วิธีของการขยายพันธุ์หลายท่านก็คงทราบกันดีว่าถ้าเป็นการปักชำกิ่ง การตอนกิ่ง การติดตา หรือการทาบกิ่ง เขาเรียกว่าเป็นการขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ ข้อดีคือ จะได้ผลตรงตามพันธุ์ที่ต้องการ กิ่งที่ได้ ใบที่ได้ก็จะได้ตามต้นแม่ ไม่มีผิดเพี้ยน และหากถ้าใครสนใจอยากปลูกจึงแนะนำว่าให้ทำการขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศก็จะได้สายพันธุ์ที่แท้ แต่ว่าการขยายพันธุ์วิธีนี้อาจจะยังมีไม่มากนัก สืบเนื่องจากมีข้อจำกัดตอนที่ต้นแม่พันธุ์ในพื้นที่โดนปราบปรามไปจนเกือบหมด

“ต่อมาการขยายพันธุ์ประเภทที่ 2 คือการขยายพันธุ์แบบอาศัยเพศ คือการเพาะเมล็ด วิธีการเพาะ ชาวบ้านในพื้นที่เขาบอกว่าไม่ยาก มีข้อดีคือทำได้ง่ายและได้ปริมาณมาก แต่ข้อเสียคือมีโอกาสที่จะเกิดการกลายพันธุ์ได้ง่าย มีความผิดเพี้ยนไปจากพันธุ์เดิม หรือลักษณะที่ไม่พึงประสงค์อาจจะเพิ่มมากขึ้น และในส่วนของการดูแลอาจจะมีศัตรูพืช ซึ่งตรงนี้ก็น่าเป็นห่วงสำหรับผู้ที่จะปลูกเพื่อการค้า เพราะเมื่อมีศัตรูพืชเกิดขึ้นก็ต้องมีในเรื่องของสารเคมีเข้ามาเกี่ยวข้อง สิ่งนี้แหละเป็นเรื่องที่จะต้องว่ากันต่อในอนาคตว่าจะมีวิธีการบริหารจัดการให้เกิดเป็นพืชปลอดภัยเหมือนกับพืชผักชนิดอื่นได้อย่างไร” คุณนิพนธ์ กล่าวทิ้งท้าย

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ กำนันสรรเพชญ์ ทันราย โทรศัพท์ 093-746-3525 และ คุณมนตรี ศิริชุม โทรศัพท์ 064-265-8955

ฉบับหน้า ติดตามอ่านขั้นตอนวิธีการปลูกกระท่อมได้ที่นี่

ใต้ใบ
ยอดอ่อน
ต้นตอกระทุ่มขนาดใหญ่
ต้นตอกระทุ่มขนาดใหญ่