ยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์ สิเกา ปลูกพืชเมืองหนาวภาคใต้ รายได้สูง

อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง มีสภาพพื้นที่ทั่วไปเป็นเนินสูงสลับต่ำ และที่ราบสูง สลับด้วยภูเขา มีป่าไม้ ลำธาร ลำคลอง และห้วยสั้น ไหลสู่ทะเลอันดามัน ด้านตะวันตก มีสภาพเป็นป่าชายเลน สภาพดินทั่วไปเป็นดินร่วนปนทราย ความสมบูรณ์ต่ำ อาชีพส่วนใหญ่ของชาวสิเกา คือเกษตรกรรม ทั้ง กสิกรรม การประมงจับสัตว์น้ำ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ด้านการท่องเที่ยวทางทะเล ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำการเกษตร ร้อยละ 80 รับจ้าง ร้อยละ 15 อื่นๆ ร้อยละ 5 มีพื้นที่ทำการเกษตร จำนวน 232,633 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 66.23 และส่วนใหญ่จะเป็นสวนปาล์มน้ำมันและยางพารา ซึ่งเป็นพืชที่เกษตรกรนิยมปลูกกันมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

คุณกันยารัตน์ หมุนเวียน เกษตรกร (กลาง) คุณวินัย วรรธนะนาถ เกษตรอำเภอสิเกา (ซ้าย) และ คุณศิวกร เคี่ยมการ เกษตรตำบล (ขวา)

แต่หากคิดถึงภาพการปลูกผักของเกษตรกรในอำเภอสิเกา เกษตรกรส่วนใหญ่จะปลูกไว้ข้างบ้าน แค่พอมีพอกินในครัวเรือน และยิ่งหากเป็นผักเมืองหนาว เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก และ    บร็อกโคลี่ แน่นอนว่าจะนึกถึงภาพบรรยากาศของพื้นที่ภูเขาในแถบภาคเหนือ ที่มีอากาศหนาวเย็น เอื้อต่อการปลูกพืชผักเมืองหนาว ซึ่งเป็นภาพที่เกษตรกรคุ้นชิน

คุณกันยารัตน์ หมุนเวียน ยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์ ตำบลกะลาเส เกษตรกรที่สามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำจากการปลูกผักเมืองหนาวในพื้นที่ข้างบ้าน เนื้อที่ 2 ไร่ โดยเฉพาะกะหล่ำปลี กะหล่ำดอก และบร็อกโคลี่ ซึ่งเป็นผักที่จะปลูกได้ในเขตหนาว

เกษตรกรรุ่นใหม่ เป็นยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์

คุณกันยารัตน์ เล่าว่า กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บร็อกโคลี่ จะใช้พันธุ์เดียวกับที่ปลูกทางภาคเหนือ เพราะมีคุณภาพตามที่ตลาดต้องการ การเตรียมดินสำหรับปลูกกะหล่ำปลี ไถพรวนดินลึก ประมาณ 30-40 เซนติเมตร ตากดินไว้ 7-14 วัน ย่อยดินให้ละเอียด หว่านปูนขาว ในอัตราส่วน 100-300 กิโลกรัม/ไร่ จากนั้นใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 2,000 กิโลกรัม/ไร่ ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 30 กิโลกรัม/ไร่ พรวนดินอีกครั้งให้เข้ากัน ก่อนปรับดินให้เรียบ พร้อมยกแปลงสูง 30 เซนติเมตร x กว้าง 1.20 เมตร x ความยาวตามพื้นที่ เพาะกล้าในถาดเพาะพลาสติก หลังจากต้นกล้างอกได้ 25-30 วัน ให้เลือกถอนต้นที่สมบูรณ์ย้ายไปปลูก หลังจากเตรียมแปลงปลูกแล้วให้เริ่มขุดหลุมปลูกระยะห่างระหว่างต้น 50-70 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างแถว 100-120 เซนติเมตร จากนั้นนำต้นกล้าที่แข็งแรงย้ายจากแปลง เพาะลงปลูก โดยขณะย้ายควรใช้ดินติดรากมาด้วยและต้องระวังไม่ให้รากขาดแล้วรีบนำลงปลูก แล้วกดดินรอบโคนให้แน่นทันทีก่อนรดน้ำให้ชุ่ม ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ วันละ 1-2 ครั้ง

ในระยะแรกให้รดน้ำด้วยการฉีดเป็นฝอยในช่วงเช้าและเย็นทุกวัน จนกระทั่งหัวเริ่มเข้าปลีให้ลดปริมาณการรดน้ำลงเพื่อป้องกันไม่ให้หัวปลีแตกง่ายหลังจากปลูกได้ 15 วัน ควรใส่ปุ๋ยหมักชีวภาพ 1 กำมือ/ต้น รดน้ำผสมน้ำหมักชีวภาพให้ชุ่มเพื่อให้ใบสวยงาม ร่วมกับการใส่ปุ๋ย      46-0-0 อัตรา 30 กิโลกรัม/ไร่ หลังจากย้ายปลูก 7-10 วัน จากนั้นเมื่ออายุครบ 20 วัน ให้ใส่ปุ๋ยสูตรเสมอ 15-15-15 หรือ 16-16-16 อัตรา 50 กิโลกรัม/ไร่ และหลังการปลูก 40 วัน (ก่อนกะหล่ำปลีเข้าหัว) ควรใส่ปุ๋ย 13-13-21 หรือ 14-14-21 อัตรา 50 กิโลกรัม/ไร่  อายุการเก็บเกี่ยว  ประมาณ 55 วัน ผลผลิตที่ได้น้ำหนักเฉลี่ย 1.2 กิโลกรัม ต่อหัว และหมุนเวียนกันปลูกไปตามฤดูกาลเพื่อลดความเสียหายและได้คุณภาพมากที่สุด สามารถปลูกได้ทั้งปี

คุณกันยารัตน์ กับผักเมืองหนาวสร้างรายได้

ผลผลิตผักกะหล่ำปลี กะหล่ำดอก และบร็อกโคลี่ มีรสชาติหวานกรอบ อร่อย  สด และสะอาด โดยผลผลิตเฉลี่ยของกะหล่ำปลี ประมาณ 300 กิโลกรัม/เดือน กะหล่ำดอก ประมาณ 180 กิโลกรัม/เดือน บร็อกโคลี่ ประมาณ 300 -500 กิโลกรัม/เดือน ส่วนราคาผลผลิต กำหล่ำปลี 60-70 บาท/กิโลกรัม กะหล่ำดอก 80 บาท/กิโลกรัม บร็อกโคลี่ 130-150 บาท/กิโลกรัม คุณกัลยารัตน์ บอกต่อไปว่า แปลงผักจะไม่ใช้สารเคมี แต่จะใช้กาวดักแมลง และสารชีวภาพอื่นๆ แทนการใช้สารเคมี เพื่อให้ผู้บริโภคได้บริโภคผักที่มีความปลอดภัย และตัวเกษตรกรเองก็จะลดความเสี่ยงจากการใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช จนได้รับมาตรฐาน Q จากสำนักงานเกษตรจังหวัดตรัง เมื่อปี 2556 ทำให้ผู้บริโภคและเกษตรกรที่มีความสนใจต่างมาศึกษาดูงานและซื้อผักไปรับประทาน

แปลงปลูกพืชผัก และผักเหมืองหนาว สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ

ปัจจุบัน ยังสมาร์มฟาร์มเมอร์ ได้มีการทำข้อตกลงกับโรงพยาบาลวังวิเศษ อำเภอวังวิเศษ จังหวัดตรัง ในการผลิตผักปลอดภัย เพื่อส่งให้กับโรงพยาบาล นำไปประกอบอาหารให้กับผู้ป่วยที่มารักษาตัว ทำให้เกษตรกรมีความมั่นคงด้านการตลาด และสามารถวางแผนการผลิตได้อย่างดี

สามารถติดต่อสอบถามข้อมูล คุณกันยารัตน์ หมุนเวียน เบอร์โทรศัพท์ 085-022-3660

 

เมื่อวันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2565