หญิงเก่งเมืองนครสวรรค์ ปลูกพืชมากกว่า 30 ชนิด สร้างความยั่งยืนทางอาหาร ผลพลอยได้คือน้ำผึ้ง ขายได้ทั้งปี

ด้วยสถานการณ์ราคาพืชผลทางการเกษตรที่ตกต่ำมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพืชเศรษฐกิจหลักอย่างข้าวและยางพารา ส่งผลให้เกษตรกรหลายรายมีการปรับเปลี่ยนวิธีการทำสวนแบบใหม่จากเดิมปลูกพืชเชิงเดี่ยว ก็ปรับเปลี่ยนหันมาปลูกพืชผสมผสานเพื่อสร้างรายได้หมุนเวียน

อย่างเช่นเกษตรกรหญิงเก่งรายนี้ ที่ได้ปรับผืนนาให้กลายเป็นสวนผสมผสาน ปลูกพืชผักผลไม้มากกว่า 30 ชนิด เพื่อสร้างระบบนิเวศและความมั่นคงทางอาหาร และนอกจากผลผลิตคุณภาพสร้างรายได้ไม่ขาดมือแล้ว ยังมีผลพลอยได้ที่ธรรมชาติได้สรรค์สร้างขึ้นมาให้โดยที่ไม่ต้องลงทุน คือการที่มีผึ้งมาอาศัยทำรังอยู่ในสวน เข้ามาช่วยผสมเกสรให้ผลผลิตภายในสวนออกดอกติดผลได้มากกว่าปกติ รวมถึงรายได้เพิ่มจากการขายน้ำผึ้งจำนวนไม่น้อย

คุณสกาวเดือน จิ้มปุ๋ย หรือ พี่ผึ้ง

คุณสกาวเดือน จิ้มปุ๋ย หรือ พี่ผึ้ง อยู่ที่หมู่ที่ 4 บ้านห้วยน้อย ตำบลหนองบัว อำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ เกษตรหญิงเก่งหัวก้าวหน้าแห่งเมืองนครสวรรค์ ใช้เวลาลองผิดลองถูกเริ่มต้นพัฒนาผืนนามรดกของพ่อกับแม่เปลี่ยนทำเกษตรผสมผสาน ช่วยให้ครอบครัวหลุดพ้นจากปัญหาราคาข้าวที่ตกต่ำ ให้กลับมาลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง

ผักสลัดกรีนคอสอินทรีย์

พี่ผึ้ง เล่าถึงจุดเริ่มต้นการทำเกษตรว่า ตนเองเป็นลูกหลานชาวนามาตั้งแต่กำเนิดและไม่ได้เรียนจบสูงมากนัก อาศัยความมีใจรักในด้านงานเกษตร พัฒนาจากความชอบกลายเป็นอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัวมานานมากกว่า 5 ปี รวมถึงการพัฒนาเปิดบ้านเป็นศูนย์การเรียนรู้เกษตรผสมผสานแบบครบวงจร ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากเมื่อก่อนเคยปลูกพืชเชิงเดี่ยวมาก่อน ทำนาเพียงอย่างเดียว แต่ช่วงหลายปีหลังมานี้มักประสบปัญหาภัยแล้ง ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ทำให้มีความเสี่ยงสูง ในด้านของการลงทุน ที่ในบางปีลงทุนมากกว่าเดิม แต่รายได้น้อยกว่าที่ลงทุนไป นี่จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้หันมาทำสวนเกษตรผสมผสานเพื่อความยั่งยืนแทน

พืชผักผลไม้เก็บมาจากสวน เตรียมใส่รถไปขาย
กล้วยไข่ ใกล้ถึงเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิต

พื้นที่ 25 ไร่ ปลูกพืชผักมากกว่า 30 ชนิด
สร้างระบบนิเวศ สร้างความมั่นคงทางอาหาร

พี่ผึ้ง บอกว่า ณ ปัจจุบันตนเองทำเกษตรผสมผสานบนพื้นที่กว่า 25 ไร่ รวมกับที่เปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้ จากเมื่อก่อนทำนาปลูกข้าวเต็มพื้นที่ แต่ในปัจจุบันได้ลดพื้นที่ปลูกข้าวลงเหลือประมาณ 3 ไร่ ส่วนพื้นที่ที่เหลือเปลี่ยนมาขุดสระ เลี้ยงปลา เลี้ยงสัตว์ ปลูกพืชผสมผสานครบวงจร

เลี้ยงเป็ดแบบปล่อยธรรมชาติ

 

ปลูกไผ่แซมในร่องสวน

“การขุดสระของที่นี่ไม่ได้เน้นเพียงแค่ไว้กักเก็บน้ำเพียงอย่างเดียว แต่ขุดสระเพื่อให้สามารถปลูกไม้ผลได้ เนื่องจากเมื่อก่อนพื้นที่ตรงนี้ไม่สามารถปลูกพืชผักผลไม้อะไรได้เลย เพราะเป็นพื้นที่โซนน้ำท่วมขัง ฉะนั้น หนทางที่จะเปลี่ยนแปลงได้คือการขุดสระแล้วนำดินจากการขุดสระมาถมทำเป็นพื้นที่ไว้สำหรับปลูกผักและผลไม้ รวมถึงการขุดเป็นคลองไส้ไก่ บริเวณรอบบ้าน รอบสวน ปลูกพืชผักผลไม้มากกว่า 30 ชนิด สามารถสร้างรายได้ตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นกล้วย ที่ไม่ได้ปลูกกล้วยแค่ชนิดเดียว แต่จะเน้นความหลากหลาย ที่มีทั้งกล้วยน้ำว้า กล้วยหอมทอง กล้วยหอมเขียว กล้วยเล็บมือนาง กล้วยไข่ กล้วยนาก และกล้วยสายพันธุ์แปลกหายากอีกหลายชนิด เพื่อสร้างความหลากหลายให้กับคนที่เข้ามาเยี่ยมชมที่ศูนย์การเรียนรู้ และให้ได้ทราบถึงข้อเท็จจริงว่ายังมีกล้วยอีกหลายพันธุ์ที่สามารถปลูกได้ในเนื้อที่และอากาศแบบนี้ ถัดมาคือแก้วมังกรถือเป็นพืชไฮไลต์ของที่สวน ที่มีทั้งแก้วมังกรพันธุ์ขาวจัมโบ้ พันธุ์เหลืองโคลัมเบีย พันธุ์เหลืองอิสราเอล ที่มีความหอมหวานเหมือนลิ้นจี่ เป็นของขึ้นชื่อของที่สวน และยังไม่หมดแค่นี้ ที่สวนยังภูมิใจนำเสนอมะม่วงที่ปลูกมากกว่า 10 สายพันธุ์ และพืชผักผลไม้นานาชนิด เช่น มะนาว มะยงชิด มะพร้าวน้ำหอม มะพร้าวแกง มะขามเทศ ไม้ป่า รวมถึงการทำประมง และปศุสัตว์ด้วย”

เบื้องหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตก่อนถึงมือลูกค้า

 

พืชผักผลไม้เก็บมาจากสวน เตรียมใส่รถไปขาย

ซึ่งกิจกรรมการเพาะปลูกที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ พี่ผึ้ง บอกว่า เน้นทำกันเองภายในครอบครัว แทบที่จะไม่ต้องจ้างคนงาน มีจ้างบ้างเพียงบางครั้ง เพราะพืชผักที่ปลูกหรือสัตว์ที่เลี้ยงไม่จำเป็นต้องดูแลในเวลาเดียวกัน ทุกอย่างสามารถยืดหยุ่นได้ตามความสะดวก โดยเทคนิคอยู่ที่การเน้นปลูกพืชตามฤดูกาล และสัตว์ที่เลี้ยงสามารถปล่อยเลี้ยงตามธรรมชาติได้ ทำให้สามารถบริหารจัดการเวลาได้ง่าย รู้ว่าพืชแต่ละชนิดต้องการการดูแลช่วงไหน รวมถึงสามารถคำนวณผลผลิตที่จะออกมาเพื่อที่จะวางแผนการตลาด สำหรับขายผลสด สำหรับการแปรรูปได้ทันเวลา เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

 

จัดสรรพื้นที่ปลูก ให้มีรายได้ตลอดปี

ปลูกพืชผักผสมผสาน มีผลผลิตให้เก็บเกี่ยวสลับหมุนเวียนกันไป
เก็บมะขามเทศไปขาย

ในส่วนของการจัดสรรพื้นที่ปลูกทั้งพืชผัก ไม้ผล และไม้ป่า พี่ผึ้ง อธิบายว่า อันดับแรกคือการวิเคราะห์และมองให้ออกว่าพื้นที่เพาะปลูกของตนเองมีลักษณะแบบไหน พื้นที่ตรงไหนสูง ตรงไหนต่ำ แล้วจึงค่อยเลือกหาพืชที่เหมาะสมกับพื้นที่มาปลูก เป็นหลักการง่ายๆ ในการจัดสรรพื้นที่ ซึ่งในช่วงเริ่มต้นไม่แนะนำให้ปลูกทีเดียวเยอะๆ แต่ให้ค่อยๆ ทยอยปลูก แล้วค่อยนำทุนจากผลผลิตที่ได้มาต่อยอดขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้น โดยที่ไม่ลืมตั้งเป้าหมายกับพืชแต่ละชนิดว่าใช้เวลาปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวกี่เดือนหรือกี่ปี แล้วจึงค่อยปลูกไล่ระดับกันไปตามแนวกันชน โดยบริเวณรอบๆ แนวกันชนจะปลูกเป็นกล้วย แซมด้วยมะม่วง ไผ่ และไม้ยืนต้น เช่น สัก พะยูง ยางนา ควง เพราะมีการวางแผนไว้ว่ากล้วยให้ผลผลิตได้ประมาณ 3-4 ปีจะเริ่มหมดอายุ แล้วต่อมาจะได้เก็บผลผลิตมะม่วง และไม้ผลอื่นๆ ที่ปลูกแซมไว้ก็จะทยอยออกให้เก็บเรื่อยๆ มีไม้ป่าไว้สร้างรายได้ในอนาคตยามแก่เฒ่า

.มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์

 

“มีผึ้งเข้ามาทำรังในสวน”
สิ่งที่ได้รับจากระบบนิเวศที่สมบูรณ์

เจ้าของบอกว่า ประโยชน์ของการทำสวนผสมผสานแบบครบวงจร นอกจากการสร้างรายได้ที่มั่นคงตลอดทั้งปีแล้ว ยังมีผลพลอยได้จากระบบนิเวศที่สมบูรณ์ คือมีผึ้งเข้ามาทำรังในสวน เพราะผึ้งถือเป็นสัตว์ที่บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำ แหล่งอาหาร รวมถึงสามารถบ่งบอกได้ว่าสวนแห่งนี้ทำเกษตรโดยปราศจากสารเคมี สิ่งได้ประโยชน์จากผึ้งคือการเข้ามาช่วยผสมเกสรให้กับไม้ดอกไม้ผลภายในสวน ทำให้พืชผักผลไม้ออกดอกติดผลมากกว่าหลายปีที่ผ่านมา และยังสามารถเก็บน้ำผึ้งขายสร้างรายได้เสริมโดยที่ไม่ต้องดูแลอะไรมาก เพียงอยู่แบบไม่ทำร้ายกัน อยู่กันแบบเอื้อประโยชน์ต่อกัน

มะม่วงปลูกแซมในสวนมากกว่า 10 สายพันธุ์

“ในแต่ละปี จะมีรังผึ้งให้เก็บอยู่เรื่อยๆ แต่ในช่วงที่หัวน้ำดีและผึ้งผลิตน้ำหวานได้เยอะ จะเริ่มตั้งแต่ช่วงเดือนสี่ เดือนห้า เป็นช่วงที่หัวน้ำหวานจะได้เต็มที่สุด และความสมบูรณ์ของน้ำผึ้งจะดีที่สุดคือช่วงเดือนห้า เก็บขายได้ทุกเดือนแล้วแต่ความสะดวกของเจ้าของสวน จะมีทั้งรังเล็กรังใหญ่ปะปนกันไป ขายในราคาตั้งแต่ 20-400 บาท ถือเป็นผลพลอยได้ที่เราไม่ต้องลงทุน แต่มีรายได้เข้ามาหลายพันบาทจากการขายน้ำผึ้ง”

แก้วมังกร ไฮไลต์ของสวน
มะนาวดกเต็มต้น

 

เกษตรผสมผสานแบบอินทรีย์
มีเคล็ดลับการดูแลอย่างไรบ้าง

จุดเริ่มต้นการทำเกษตรอินทรีย์ พี่ผึ้ง บอกว่า เกิดขึ้นจากจุดที่ได้หันกลับมามองตนเองและคนในครอบครัว ที่อยากจะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่และสุขภาพที่ดีขึ้น เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะทำได้เป็นอันดับแรกคือเริ่มจากการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตจากที่เคยทำ จากเมื่อก่อนสมัยรุ่นพ่อรุ่นแม่ทำแต่เกษตรเคมี ก็ค่อยๆ ลด ละ เลิก แล้วหันกลับมาทำเกษตรแบบอินทรีย์ที่ปลอดภัยกับทุกคนในครอบครัว ด้วยการเริ่มต้นเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไส้เดือน เพาะแหนแดงเอง แล้วใช้มูลของสัตว์ที่เลี้ยงไปทำเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้ และช่วยลดต้นทุนค่าอาหารปลาด้วยการใช้แหนแดงกับต้นผงชูรสทำเป็นอาหารให้ปลา ผลที่ได้คือคนในครอบครัวมีสุขภาพที่ดีขึ้นและมีรายได้เหลือเพิ่มขึ้น เพราะไม่ต้องนำเงินไปซื้อสารเคมี

แก้วมังกรสายพันธุ์เหลืองโคลัมเบีย

เกษตรอินทรีย์ลดต้นทุน

  1. ใช้น้ำส้มควันไม้ จากการเผาถ่านใช้เองตลอดทั้งปี ในการฉีดพ่นไล่แมลงแทนการใช้สารเคมี
  2. น้ำหมักหัวปลา ที่ใช้หัวปลาและเศษปลาที่มีเป็นจำนวนมากมาหมักไว้ในถัง โดยใช้ระยะเวลาในการหมักแล้วแต่ความสะดวก เมื่อถึงเวลาจะนำมาใช้งานจึงค่อยเทกากน้ำตาลใส่ลงไป
  3. ทำจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง ฮอร์โมนไข่ ไว้ใช้เอง โดยการใช้ดูตามความเหมาะสมของพืชแต่ละชนิดว่าเหมาะกับน้ำหมักสูตรไหน เช่น น้ำหมักปลานำไปฉีดพ่นให้กับไม้ผล ก็จะช่วยทำให้ใบงาม ติดผลดก หรือถ้านำน้ำหมักปลาไปฉีดพ่นประเภทผักใบ ใบก็จะเขียว ต้นอวบสมบูรณ์

ซึ่งการทำเกษตรอินทรีย์ทำให้ที่สวนสามารถลดต้นทุนค่าปุ๋ยเคมีไปได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ทำให้มีรายได้และมีเงินเก็บเพิ่มขึ้น จากการแบ่งเวลาว่างจากงานสวนสัปดาห์ละครั้ง เก็บพืชผักผลไม้ของที่สวนใส่รถไปขายเอง โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง รายได้เฉลี่ยแต่ละครั้งอยู่ที่ประมาณ 4,000-8,000 บาท แล้วแต่จำนวนของที่นำมาขาย รวมถึงอาชีพเสริมที่หลากหลายเปลี่ยนไปตามฤดูกาล

นาข้าวอินทรีย์ปลูกไว้กินเอง เหลือจึงขาย
หอย ปู ปลา ที่เลี้ยงไว้ ถึงเวลาให้ผลตอบแทน

“ตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นช่วงเทศกาลวันลอยกระทง พี่ก็จะทำกระทงขาย โดยใช้ต้นกล้วย ใบตอง ดอกไม้ของที่เราปลูกเองมาทำ หรือช่วงไหนดอกมะลิออกพี่ก็จะเก็บดอกมะลิมาให้แม่ร้อยมาลัยขาย หรือถ้าช่วงไหนชาวบ้านมาซื้อไก่ ซื้อเป็ดของพี่ เราก็บริการต้มให้ส่งฟรีถึงที่ หรือถ้าใครอยากได้เครื่องต้มยำเพิ่ม อยากได้มะกรูด มะนาว ตะไคร้ ใบมะกรูด พี่ก็เก็บแถมให้ฟรี เพราะเราปลูกเองต้นทุนเราต่ำ เราแถมให้เขาอย่างละนิดละหน่อยได้สบายๆ ถือเป็นกลยุทธ์การขายของพี่ และเป็นการช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ช่วยให้เขาประหยัดขึ้น จ่ายในราคาเท่าเดิมแต่ได้ของมากกว่าเดิม ซื้อในราคาที่ถูกกว่า ได้ของสดกว่า และที่สำคัญคือความจริงใจและรอยยิ้มที่มีให้กับลูกค้า เราใช้ใจขาย โดยที่เราไม่ต้องไปออกสื่ออะไรมาก กลายเป็นเหมือนลูกโซ่ที่ลูกค้าบอกกันปากต่อปากกันไปเอง”

ฐานการเรียนรู้การขยายพันธุ์พืช
ผู้สนใจเข้ามาศึกษาดูงานที่ศูนย์การเรียนรู้

 

ฝากถึงเกษตรกรทำเกษตรอย่างไร
ให้มีความสุข ปลอดภัยจากหนี้สิน

“อันดับแรกใจต้องมาก่อน ถ้าไม่มีใจ ต่อให้เราไปบังคับก็ไม่ได้ผล ยกตัวอย่างง่ายๆ เลย ถ้าวันนี้มะเขือราคาแพงกิโลละ 200 บาท เกษตรกรเห็นมะเขือราคาแพง ก็ไปแห่ปลูกมะเขือ แต่อย่าลืมนะว่ามะเขือไม่ได้ปลูกวันนี้แล้วพรุ่งนี้เก็บได้ แต่มันต้องใช้เวลา แต่บางคนมองเงินเป็นตัวตั้ง พอถึงเวลาราคาจาก 200 เหลือกิโลละ 20 บาท จะทำยังไงก็ต้องเป็นหนี้เพราะบางคนไปกู้หนี้ยืมสินมาทำ เพราะฉะนั้น การเกษตรทำให้ดี ทำให้มีความสุข ทำให้ปลอดภัยจากหนี้ ทุกอย่างต้องตั้งอยู่บนฐานของความพอเพียง เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ” พี่ผึ้ง กล่าวทิ้งท้าย

เลี้ยงหมูสร้างความยั่งยืนทางอาหาร
รังผึ้งที่เก็บได้ภายในสวน ผลพลอยได้จากระบบนิเวศที่สมบูรณ์
รังผึ้งที่เก็บได้ภายในสวน ผลพลอยได้จากระบบนิเวศที่สมบูรณ์

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสนใจเยี่ยมชมศูนย์เกษตรผสมผสานแบบครบวงจร สามารถติดต่อได้ที่เบอร์โทร. 080-128-8875