เกษตรกรอยุธยา ผลิตเมล่อนญี่ปุ่นส่งห้าง สร้างรายได้ต่อเนื่อง 7 ปี ทำได้ยังไง?

“เมล่อน” จัดเป็นพืชอยู่ในตระกูลแตง คล้ายแคนตาลูป แต่มีความแตกต่างกันที่รสชาติ ความหอม กลิ่น เนื้อ และลวดลายที่สวยงามของผล ขึ้นกับสายพันธุ์ชนิดต่างๆ ปัจจุบัน ในเมืองไทยนิยมปลูกและรับประทานเมล่อนสายพันธุ์ญี่ปุ่น ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษคือ มีความหวาน หอม อร่อย และมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จนกลายเป็นผลไม้ทำเงินให้กับเกษตรกรในประเทศไทยได้มูลค่าไม่น้อย

คุณสุดารัตน์ สุขนุ่ม หรือ คุณยุ้ย

คุณสุดารัตน์ สุขนุ่ม หรือ คุณยุ้ย ลูกสาวเจ้าของฟาร์มเมล่อนญี่ปุ่น GAP ตั้งอยู่ที่วิสาหกิจชุมชนเมล่อนหมู่ใหญ่ร่วมใจพัฒนา หมู่ที่ 4 ตำบลคู้สลอด อำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ลูกหลานชาวนาพลิกฟื้นที่ดินทำกินให้เจริญงอกเงยยิ่งขึ้น ด้วยการปลูกเมล่อนญี่ปุ่น พร้อมสร้างมาตรฐาน GAP เพื่อขยายโอกาสทางการตลาดและเพิ่มมูลค่าสินค้าจนประสบผลสำเร็จ และยังเป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการขับเคลื่อนวิสาหกิจชุมชนร่วมกับคุณพ่อในการสร้างมาตรฐานควบคุมผลผลิตเมล่อนจนสามารถส่งห้างได้ต่อเนื่องนานถึง 7 ปี ทำรายได้เข้ากลุ่มเดือนละไม่ต่ำกว่า 500,00-600,000 บาท

คุณสว่าง สุขนุ่ม มือโปรด้านการปลูกเมล่อน

คุณยุ้ย เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการปลูกเมล่อนให้ฟังว่า ก่อนที่ครอบครัวของตนเองจะหันมาปลูกเมล่อนญี่ปุ่นเป็นอาชีพหลัก คุณพ่อคุณแม่มีอาชีพเป็นเกษตรกรทำนาปลูกข้าว ปลูกผักบุ้งมาก่อน แต่เป็นที่ทราบกันดีว่าช่วงหลายปีหลังมานี้ราคาข้าวค่อนข้างตกต่ำ สวนทางกับต้นทุนการผลิตที่สูง เป็นสาเหตุทำให้ต้องหาอาชีพอย่างอื่นมารองรับ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการปลูกเมล่อนญี่ปุ่นเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โดยนำองค์ความรู้มาจากคุณพ่อ คือ คุณสว่าง สุขนุ่ม ได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานเกี่ยวกับการปลูกเมล่อนจากหลายพื้นที่ ซึ่งเป็นโครงการที่ทางสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) จัดขึ้น นำไปสู่การนำเอาองค์ความรู้ที่ได้มาจากการไปศึกษาดูงานมาต่อยอดทำฟาร์มเมล่อนเป็นของตัวเอง โดยคุณพ่อจะอยู่ในฝ่ายการผลิต ส่วนตนเองทำหน้าที่ควบคุมคุณภาพของสินค้าในฟาร์ม เพื่อให้ผลผลิตได้มาตรฐานสามารถส่งห้างสรรพสินค้าได้อย่างไม่ติดขัด

Smile melon เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร

ปัจจุบัน คุณสว่างถือเป็นมือโปรด้านการปลูกเมล่อน มีการรวมกลุ่มจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนขึ้นมาในชื่อ “วิสาหกิจชุมชนเมล่อนหมู่ใหญ่ร่วมใจพัฒนา” มีสมาชิกทั้งหมด 30 คน มีพื้นที่ปลูกเมล่อนรวมทั้งหมด 100 โรงเรือน แบ่งเป็นเฉพาะของที่ฟาร์มเอง 20 โรงเรือน และของสมาชิกอีก 80 โรงเรือน มีการจัดการวางแผนการปลูกสลับหมุนเวียนกันภายในกลุ่มทุกสัปดาห์ เพื่อให้มีผลผลิตออกสู่ตลาดได้ตลอดทั้งปี

โรงเรือนปลูกเมล่อน อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม
โรงเรือนเพาะกล้า

โดยหลักๆ เน้นปลูกเมล่อนญี่ปุ่น 2 สายพันธุ์ด้วยกัน คือ 1. อาซาฮี มีจุดเด่นที่เนื้อสีส้ม รสชาติหวาน กรอบ และ 2. มิโดริ มีจุดเด่นที่เนื้อสีเขียว รสชาติหวานนุ่ม หอม ค่าความหวานเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 14-16 บริกซ์ และขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการเก็บเกี่ยว อาศัยความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก เช่น ถ้าหากเป็นลูกค้าที่เข้ามาซื้อถึงหน้าฟาร์มจะเลือกตัดผลแก่ที่มีความหวานฉ่ำให้ แต่ถ้าหากตัดผลผลิตส่งให้กับทางห้างสรรพสินค้า ความหวานจะอยู่ที่ประมาณ 14 บริกซ์ เป็นมาตรฐาน

พร้อมผสมเกสร
อยู่ในขั้นตอนการผสมเกสร

เทคนิคการปลูกเมล่อนญี่ปุ่นส่งห้าง ปัจจัยสำคัญอยู่ที่เวลาและการใส่ใจ

คุณยุ้ย อธิบายถึงเทคนิคการปลูกเมล่อน GAP ให้ฟังว่า เป็นการปลูกเมล่อนในโรงเรือนทั้งหมด เพื่อเน้นคุณภาพ ความปลอดภัยให้กับลูกค้า และยังสามารถการันตีกับลูกค้าได้ว่า ผลผลิตเมล่อนที่ซื้อจากฟาร์มของเราไป สามารถตรวจสอบที่มาของแหล่งผลิตได้ทุกลูก เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในมาตรฐานของผลผลิต รวมถึงการเน้นไปที่รูปแบบการจัดการตั้งแต่ปฏิทินวางแผนการปลูก แค่ให้เพียงพอกับความต้องการตลาด จะไม่ผลิตออกมาล้นจนทำให้เกิดความเสียหายทั้งด้านราคาและคุณภาพที่มีมากเกินการควบคุม โดยจะวางแผนปลูกทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละ 3-4 โรงเรือน เพื่อให้ได้ผลผลิตออกสู่ตลาด สัปดาห์ละ 2-3 ตัน ตามความต้องการของลูกค้า

หลังจากผสมเกสรประมาณ 15 วัน ขนาดผลเริ่มขยายตามลำดับ
การเพาะปลูกเมล่อนในถุง

โรงเรือน ปลูกในโรงเรือนมาตรฐาน ขนาดความกว้าง 7×30 เมตร สามารถปลูกเมล่อนได้ประมาณ 600 กว่าต้น

เมล่อนญี่ปุ่น พร้อมเก็บเกี่ยว ทรงผลสวย ลายตาข่ายชัดเจนสวยงาม

การเตรียมดินปลูก การปลูกเมล่อนสามารถปลูกได้ 2 รูปแบบ คือ ปลูกลงดิน และปลูกในวัสดุปลูกแทนดิน โดยของที่สวนจะเลือกปลูกด้วยวัสดุปลูกแทนดิน คือการใช้แกลบดำเป็นวัสดุปลูก เนื่องจากเป็นวัสดุปลูกที่ไม่อมน้ำ ทำให้ง่ายต่อการควบคุมโรคและป้องกันโรคที่เกิดจากความชื้นได้เป็นอย่างดี โดยวัสดุปลูกสามารถปลูกเมล่อนได้ 2 ครั้ง จากนั้นต้องเปลี่ยนวัสดุปลูกใหม่

ผลผลิตแบรนด์ Smile melon ได้คุณภาพทุกลูก

การเพาะเมล็ด ใช้เวลาเพาะเมล็ดประมาณ 7-10 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ หากเป็นช่วงที่มีแดดออกดีๆ 7 วัน สามารถย้ายกล้าลงถุงปลูกได้ แต่ถ้าหากช่วงไหนแดดไม่ค่อยมี อาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการเพาะเมล็ด ประมาณ 10 วัน จึงค่อยย้ายกล้าลงถุงปลูก โดยเทคนิคการเพาะให้ต้นแข็งแรง โตดี คือการนำเอาเมล็ดไปแช่ไตรโคเดอร์ม่า คือการนำเอาเชื้อไตรโคเดอร์ม่าละลายกับน้ำ แล้วนำเมล็ดเมล่อนลงไปแช่ทิ้งไว้ประมาณ 4-5 ชั่วโมง จึงค่อยนำไปเพาะเมล็ด

ตรวจสอบคุณภาพสินค้า เตรียมส่งเข้าห้าง

หลังจากย้ายกล้าลงถุงปลูกได้ประมาณ 22-25 วัน จะเริ่มมีดอกตัวเมียและตัวผู้ให้ผสมเกสร และในช่วงนี้ควรมีการจดบันทึกหรือทำเครื่องหมายสัญลักษณ์แต่ละดอกที่ผสมเพื่อกำหนดวันเก็บที่ถูกต้องหลังจากผสมเกสร ปล่อยให้ผลโตขึ้น จากนั้นจะทำการคัดเลือกลูกที่มีความสมบูรณ์ ผิวสวย รูปทรงสมบูรณ์ที่สุดไว้ให้เหลือเพียงลูกเดียว ส่วนที่เหลือตัดทิ้ง จากนั้นต้องแขวนผลให้แข็งแรงเพื่อรับน้ำหนักโดยใช้เชือกคล้องที่ขั้วผลแล้วมัดไว้ที่ค้าง แล้วเลี้ยงต่อไปโดยใส่ปุ๋ยเพิ่มขึ้นตามอายุปลูก หลังจากนั้นนับจากวันที่ผสมเกสรไปเป็นเวลา 45 วัน เริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตได้

มิโดริ มีจุดเด่นที่เนื้อสีเขียว รสชาติหวานนุ่ม หอม
อาซาฮี มีจุดเด่นที่เนื้อสีส้ม รสชาติหวาน กรอบ

การดูแลรดน้ำ-ใส่ปุ๋ย

ขั้นตอนการรดน้ำและใส่ปุ๋ย เทคนิคของที่ฟาร์มคือการให้น้ำและปุ๋ยด้วยระบบไทม์เมอร์ หรืออุปกรณ์ในการตั้งเวลารดน้ำใส่ปุ๋ยอัตโนมัติ โดยจะมีถังน้ำและถังปุ๋ยแยกกัน และมีการแบ่งช่วงเวลาการรดน้ำใส่ปุ๋ย ดังนี้

ช่วงเช้าให้ปุ๋ย 3 เวลา คือ 08.00 น. 10.00 น. และ 11.00 น. ให้ปุ๋ยรอบละ 2 นาที

ช่วงบ่ายรดน้ำ 3 เวลา แบ่งเป็นช่วง คือ 13.00 น. 15.00 น. และ 16.00 น. เปิดรดน้ำรอบละ 2 นาที เช่นเดียวกับการให้ปุ๋ย โดยปุ๋ยที่ใช้เป็นปุ๋ย AB แบบเกล็ดละลายน้ำ

ผลผลิตที่จำหน่ายภายในฟาร์ม

ถือเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ต้องอาศัยประสบการณ์และการปรับปรุงเรื่อยๆ เพื่อให้เหมาะกับที่พืชต้องการ และนอกเหนือจากนี้แล้วการที่จะผลิตเมล่อนให้ได้คุณภาพจำเป็นต้องมีเวลาในการดูแลเอาใจใส่อย่างทั่วถึงและสม่ำเสมอ เพราะเมล่อนเป็นพืชที่ค่อนข้างอ่อนแอ มีโรคระบาดที่ต้องระวังอยู่ตลอด

วางจำหน่าย ที่ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต

วิธีป้องกันเบื้องต้นคือ การวางแผนการปลูกให้รัดกุม และควรพักแปลงปลูกก่อนที่จะเริ่มต้นปลูกครอปใหม่ทุกครั้ง ประมาณ 45 วัน เพื่อป้องกันการเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดโรคและแมลงศัตรูพืช ไม่เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค รวมถึงมีการใช้สารชีวภัณฑ์ในการฉีดพ่นช่วยด้วย เช่น สารสะเดา หรือยาสูบหมัก

สลัดเมล่อนญี่ปุ่น

การเก็บเกี่ยวผลผลิต ใช้เวลาปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวประมาณ 90 วัน แต่ของที่ฟาร์มจะเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ตั้งแต่เมล่อนอายุประมาณ 75-80 วัน ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้า โดยปริมาณผลผลิตที่เก็บได้ในแต่ละครั้งขึ้นอยู่กับจำนวนและขนาดของโรงเรือนที่ปลูก ของที่ฟาร์มปลูกในโรงเรือนที่มีขนาดความกว้าง 7×30 เมตร สามารถปลูกเมล่อนได้ 600 กว่าต้น เมื่อหักลบผลผลิตที่เสียหายออกจะสามารถเก็บผลผลิตได้ประมาณ 600 ลูกต่อ 1 โรงเรือน เฉลี่ยน้ำหนักต่อผลอยู่ที่ 1.4-2 กิโลกรัม เป็นขนาดที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาด

น้ำเมล่อนปั่นและเมล่อนโซดา รอต้อนรับนักท่องเที่ยว

ห้างสรรพสินค้าต้องการเมล่อนแบบไหน?

นอกจากการผลิตที่ต้องใส่ใจอย่างพิถีพิถันแล้วนั้น คุณยุ้ย อธิบายให้ฟังว่า การที่จะครองใจผู้บริโภคในระดับโรงแรมและห้างสรรพสินค้าได้ ข้อที่ 1 คือต้องสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของผลผลิตได้ ข้อที่ 2 เกษตรกรผู้ปลูกจะต้องมีศักยภาพในการควบคุมปริมาณ น้ำหนัก และความหวานให้ได้มาตรฐานสม่ำเสมอ เช่น น้ำหนัก ต้องให้ได้เกณฑ์มาตรฐาน 1.4-2 กิโลกรัม ส่วนความหวานต้องให้ได้ค่ามาตรฐานเริ่มต้นที่ 13 บริกซ์ขึ้นไป ข้อที่ 3 ความซื่อสัตย์ ซื่อตรง ที่มีต่อลูกค้าอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ข้อนี้ถือว่าสำคัญ และข้อสุดท้าย เป็นสิ่งที่อยากแนะนำเกษตรกรทุกท่านคือเรื่องของการผลิตสินค้า GAP เพื่อเพิ่มช่องทางสร้างรายได้และสร้างโอกาสการขายสินค้าได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น

นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมไม่ขาดสาย

“อย่างผลผลิตของที่ฟาร์ม ปัจจุบันมีตลาดส่งหลักๆ คือ 1. ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ภายใต้แบรนด์ Smile melon 2. โรงแรม 3. พ่อค้าแม่ค้าประจำที่เข้ามารับซื้อผลผลิตถึงสวน 4. ต่อยอดเปิดคาเฟ่ ขายเครื่องดื่ม น้ำผลไม้ปั่น และเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้สำหรับผู้ที่สนใจการปลูกเมล่อน หรือสำหรับท่านที่อยากเข้ามาชิมเมล่อนผลสดๆ จากฟาร์ม สร้างรายได้จากการขายเมล่อนได้ เฉลี่ยครอปละ 70,000-100,000 บาท เป็นรายได้ที่หมุนเวียนกับสมาชิกในกลุ่ม รายได้ของส่วนตัวอาจจะเป็นแบบเดือนเว้นเดือน” คุณยุ้ย กล่าวทิ้งท้าย

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสนใจเข้ามาเยี่ยมชมฟาร์มเมล่อน ของวิสาหกิจชุมชนเมล่อนหมู่ใหญ่ร่วมใจพัฒนา สามารถติดต่อได้ที่เบอร์โทร. 063-420-8885