ผู้เขียน | ธาวิดา ศิริสัมพันธ์ |
---|---|
เผยแพร่ |
“เคล” มาจากตระกูลผักคะน้า หรือเรียกอีกชื่อว่า “คะน้าใบหยิก” จัดเป็นผักใบเขียวที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยวิตามินเอและวิตามินซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ป้องกันโรคความดัน มีลูทีนและซีแซนทีนสูง ช่วยปกป้องดวงตา และมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนักได้ดีขึ้น ซึ่งด้วยสารพัดคุณประโยชน์ที่ดีต่อร่างกาย จึงไม่แปลกที่ “เคล” ได้ถูกขนานนามว่าเป็นราชินีผักใบเขียว
คุณกิติภูมิ สุขนางรอง หรือ คุณใหญ่ เจ้าของออร์แกนร่าฟาร์มเคล ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 40 หมู่ที่ 1 ตำบลเอกราช อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง พนักงานประจำดูแลแปลงผักไฮโดรโปนิกส์ ใช้เวลาว่างช่วงวันหยุดต่อยอดจากอาชีพเสริม ให้กลายเป็นอาชีพหลักของครอบครัว ด้วยการปลูกผักเคล ฟันรายได้ 25,000-30,000 บาทต่อเดือน
คุณใหญ่ เล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันตนเองทำงานประจำเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลแปลงผักไฮโดรโปนิกส์แห่งหนึ่งที่จังหวัดนนทบุรี ทำให้พอทราบความต้องการของลูกค้าที่อยู่ในโซนนนทบุรีมาว่าส่วนใหญ่แล้วมีความต้องการผักชนิดไหนกันบ้าง โดยผักที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ คือ ผักสลัดและผักเคล แต่ด้วยที่ทำงานจะเน้นปลูกผักสลัดเพียงอย่างเดียว ผักเคลจึงไม่เพียงพอกับความต้องการของลูกค้า และประกอบกับราคาจำหน่ายผักเคลในห้างมีราคาสูง จึงได้มองเห็นช่องทางการตลาด กลายมาเป็นไอเดียต่อยอดในการปลูกผักเคล ป้อนให้กับลูกค้าในแถบพื้นที่จังหวัดนนทบุรี เป็นระยะเวลากว่า 2 ปีแล้ว
โดยปัจจุบันฟาร์มปลูกผักเคลตั้งอยู่ที่จังหวัดอ่างทอง บนพื้นที่ปลูกทั้งหมดจำนวน 6 แปลง มีขนาดความกว้างของแปลง 1 เมตร ยาว 30 เมตร เน้นปลูกแบบลงดิน และปลูกในถุงหรือกระถาง เพราะการปลูกลงดินจะมีต้นทุนที่ต่ำกว่าการปลูกพืชในน้ำหรือระบบไฮโดรโปนิกส์ ทั้งในเรื่องของต้นทุนค่าปุ๋ย ระบบการจัดการต่างๆ รวมถึงความแตกต่างของผลผลิต การปลูกลงดินจะได้ใบที่หนา มีข้อดีในเรื่องของน้ำหนัก และทนต่อสภาพอากาศร้อนได้ดี ส่วนข้อดีของการปลูกในถุงหรือในกระถาง มีข้อดีก็คือในช่วงหน้าฝนสามารถเคลื่อนย้ายขึ้นที่สูงได้ง่าย ช่วยลดปัญหารากเน่าที่เกิดจากความชื้นสูงในช่วงหน้าฝนได้เป็นอย่างดี ผลผลิตไม่เสียหาย สามารถขายในราคาที่ย่อมเยากว่าการปลูกด้วยระบบไฮโดรโปนิกส์ที่ต้องใช้ต้นทุนที่สูง แต่ถ้าหากท่านใดมีเงินลงทุนสูงและต้องการความสะดวกสบายในการจัดการก็สามารถปลูกในระบบไฮโดรโปนิกส์ได้อย่างสบายๆ
ปลูกผักเคลลงดิน ต้นทุนต่ำ
รสชาติหวาน กรอบ ด้วยปุ๋ยคอก
คุณใหญ่ เผยเคล็ดลับการปลูกผักเคลว่า เคล็ดลับการปลูกผักเคลไม่ยาก วิธีการปลูกจะคล้ายกับการปลูกผักลงดินทั่วไป เพียงแต่จะต้องควบคุมความชื้นให้ได้ ซึ่งเทคนิคก็คือให้รดน้ำทุกวันในช่วงเช้าตั้งแต่เวลา 06.00-07.00 น. เพราะเป็นช่วงที่อากาศยังไม่ร้อน และใช้สเปรย์พ่นหมอกในช่วงเที่ยงถึงบ่าย เพราะจะเป็นช่วงที่แสงแดดค่อนข้างจัด ผักจะมีการคายน้ำสูง ระบบพ่นหมอก จะช่วยปรับสมดุลของการคายน้ำทางใบให้กับผักได้
ส่วนช่วงเวลาที่ปลูกผักเคลให้ได้ผลผลิตดีที่สุด คุณใหญ่ บอกว่า เป็นช่วงหน้าหนาว อากาศเย็นแต่ว่าต้องมีแดดด้วย จะส่งผลให้ใบของผักเคลเจริญเติบโตได้ดีมาก ใบหยิกสวย และมองไปที่ใบจะเห็นเป็นสีมันวาวจากสารเคลือบของคิวติน ทำให้ใบของผักเคลดูสวยขึ้น
การเตรียมดิน ดินที่เหมาะสมในการปลูกผักเคลจะต้องมีลักษณะเป็นดินร่วน และจำเป็นต้องมีการผสมดินก่อนปลูก ต่างจากการปลูกผักทั่วไปตรงที่ “ผักชนิดอื่นตอนเก็บจะเก็บทั้งต้น แต่ผักเคลต้องเด็ดใบ” ซึ่งก็หมายความว่าดินที่ใช้จะต้องมีการผสมให้มากกว่าการปลูกผักชนิดอื่น เพื่อเน้นให้ใช้ดินได้นานๆ
ในอัตราส่วนดังนี้ ดินร่วน 1 ส่วน : ขุยมะพร้าว 1 ส่วน : กาบมะพร้าวสับ 1 ส่วน : ปุ๋ยคอกคือปุ๋ยขี้เป็ดกับปุ๋ยขี้วัวผสมกัน 1 ส่วน : และขี้เถ้าแกลบ 1/2 ส่วน
จากนั้นนำวัสดุปลูกที่เตรียมไว้ ได้แก่ ดินร่วน ปุ๋ยคอก และขี้เถ้าแกลบ ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ 1 อาทิตย์ เพื่อให้วัชพืชที่ไม่จำเป็นงอกขึ้นมาให้กำจัดทิ้งได้ง่าย แล้วจึงค่อยนำเอาขุยมะพร้าว และกาบมะพร้าวสับ ที่ผ่านการแช่น้ำเพื่อลดสารแทนนินมาผสมกับดินที่หมักไว้ จากนั้นใช้น้ำหมักชีวภาพราดลงไป ทำการผสมคลุกเคล้าให้เข้ากันอีกครั้ง แล้วหมักทิ้งไว้อีก 3 วัน
ซึ่งการผสมและหมักดินหลายครั้งจะเป็นผลดีกับผู้ปลูกที่ไม่มีเครื่องวัดค่า pH ดิน ทำให้ไม่รู้ว่าดินที่มีอยู่จะมีสภาพเป็นดินเค็มหรือดินเปรี้ยว การนำดินมาหมักช่วยเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุให้แก่ดิน ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ แล้วใช้น้ำหมักเพื่อปรับสภาพดิน พอหมักแล้วจุลินทรีย์ที่อยู่ในน้ำหมักจะช่วยทำให้ดินร่วนซุยขึ้น แล้วจึงค่อยเทดินลงในแปลงปลูกหรือใส่ในถุงปลูก รากของพืชก็จะเจริญเติบโตได้ดีขึ้น
สภาพพื้นที่ปลูกที่เหมาะสม ผักเคลเหมาะกับพื้นที่โล่ง ลมโกรก อากาศถ่ายเทได้สะดวก เพราะผักเคลถ้าปลูกในช่วงหน้าฝนในช่วงเวลาก่อนที่ฝนจะตกอากาศจะร้อน ลมจะนิ่ง ถ้าปลูกในที่อับจนเกินไป อากาศถ่ายเทได้ไม่สะดวก ความชื้นจะสูง ทำให้ผักโตช้า และเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคแมลงตามมา
“เคล็ดลับง่ายๆ ของการปลูกผักเคลให้ได้ผลดีก็คือ การใช้ซาแรนพรางแสงเข้าช่วย เพราะโดยส่วนใหญ่ผักเคลจะชอบแสงแดด แต่ถ้าแดดจัดมากไปก็ไม่ส่งผลดีกับพืชทุกชนิด ดังนั้น ในช่วงเช้าจะเปิดให้ได้รับแสงเต็มที่ หลังจากนั้นจะใช้ซาแรนคลุมพรางแสงในช่วงประมาณ 11 โมงถึงบ่าย 3 แล้วจะเปิดให้ได้รับแสงแดดอีกครั้งช่วงหลังบ่าย 3 ไปแล้ว”
การเพาะเมล็ด ใช้พีทมอสเป็นวัสดุในการเพาะเมล็ด ใช้เวลาในการเพาะเมล็ดประมาณ 3 สัปดาห์ แล้วย้ายกล้าลงถุงเพาะที่มีขนาดเล็กก่อน จากนั้นจึงค่อยย้ายลงถุงหรือกระถางที่มีขนาดใหญ่ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
การดูแลรดน้ำ ในช่วงเพาะกล้า 3 สัปดาห์ ให้รดน้ำปกติเหมือนกับเพาะกล้าทั่วไปจนครบ 3 สัปดาห์ จากนั้นเมื่อย้ายกล้าลงถุงปลูกแล้ว ให้รดน้ำทุกวันช่วงเช้า ประมาณ 6-7 โมงเช้า รดน้ำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงวันเก็บเกี่ยว ซึ่งสาเหตุของการรดน้ำในช่วงเช้า ก็เพื่อให้น้ำระเหยได้ง่าย เพราะถ้าหากรดน้ำตอนเที่ยง แดดจัดๆ จะส่งผลทำให้ใบเสียหายได้
การบำรุงใส่ปุ๋ย ในช่วงแรกที่ปลูกต้นยังเล็กพืชยังไม่ต้องการปุ๋ยมาก แต่พอหลังจากนั้นประมาณ 1 เดือนครึ่งเป็นต้นไป จะเริ่มใส่ปุ๋ยคอก คือปุ๋ยขี้วัวและปุ๋ยขี้เป็ด แล้วใช้น้ำหมักชีวภาพคอยรดบำรุงช่วงที่ตัดใบ
ผักเคลของที่ฟาร์มจะใช้เวลาประมาณเดือนครึ่งเริ่มเก็บผลผลิตได้ครั้งแรก จะเป็นใบเล็กที่ตัดเพื่อกระตุ้นให้แตกยอด ใบส่วนนี้ให้นำมาคัดเอาแต่ใบที่สวยๆ ก็สามารถนำมาขายได้ในรูปแบบใบอ่อนได้ แต่ยังขายได้ในราคาไม่สูง หลังจากนั้นเมื่อเข้าสู่เดือนที่ 2 ใบของผักเคลจะสวยเต็มที่
“อธิบายได้ว่าในช่วงเดือนครึ่งสามารถตัดใบได้รอบแรก หลักจากนั้นสามารถตัดใบขายได้ทุกสัปดาห์ ปลูกครั้งหนึ่งเก็บได้ประมาณ 8 เดือน ใส่ปุ๋ยครั้งแรก 1 เดือนครึ่ง จากนั้นใส่ปุ๋ยเดือนละครั้ง เป็นปุ๋ยคอกปุ๋ยขี้เป็ดกับปุ๋ยขี้วัวผสมกัน ปริมาณการใส่ ต้นละประมาณ 1 กำมือ แล้วพอเริ่มเก็บผลผลิตได้ 4-5 เดือน เราอาจจะเพิ่มปริมาณการใส่ปุ๋ยขึ้นเป็น 2 กำมือ เพราะต้นและใบเริ่มใหญ่ ต้องการธาตุอาหารมาก และต้องมีการพรวนดินทุกๆ 2 สัปดาห์ ตั้งแต่เดือนแรกที่เก็บผลผลิต”
การป้องกันกำจัดโรคแมลง ส่วนใหญ่ที่ฟาร์มจะเน้นป้องกันมากกว่าการทำลาย เน้นใช้เชื้อราบิวเวอเรีย สารสะเดา ยาสูบในการป้องกันแมลง หรือถ้าหากเกิดเชื้อราก็จะใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาในการฉีดป้องกัน
ปริมาณผลผลิต เก็บตามออร์เดอร์ที่ลูกค้าสั่งมา โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 30-40 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ ขายในราคากิโลกรัมละ 200-250 บาท เมื่อเทียบกับการดูแลถือว่าคุ้มค่า เนื่องจากต้นทุนการปลูกการดูแลเราไม่สูง และเน้นการประชาสัมพันธ์ให้คนในพื้นที่จังหวัดอ่างทองได้รู้จักผักเคลและทราบถึงคุณประโยชน์ที่มากมายของผักเคลมากขึ้น จึงขายในราคาที่ไม่สูงเพื่อเปิดตลาดหาลูกค้าในอ่างทอง ซึ่งถ้าหากคิดเป็นรายได้เสริมเฉลี่ยต่อเดือนจากการปลูกผักเคลขายอยู่ที่เดือนละ 25,000-30,000 บาท
และนอกจากนี้ ผักเคลยังมีความน่าสนใจอีกอย่างก็คือ เคลไม่ใช่ขายได้เฉพาะใบ แต่ยังสามารถนำมาแปรรูปเป็นหลากหลายผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่า โดยการนำมาจัดกระเช้าของขวัญเพื่อสุขภาพ หรือจะนำมาทำน้ำปั่นเคลก็มีประโยชน์มากมาย ซึ่งในอนาคตทางฟาร์มได้มีการวางแผนต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ไปอีกขั้น ด้วยการผลิตสินค้าออกมาในรูปแบบ “เคลผง” สำหรับผู้บริโภคที่ไม่ชอบทานผักใบเขียว หรือผู้บริโภคที่ไม่ชอบทานผัก ในรูปแบบเคลผงให้ทานได้ง่ายยิ่งขึ้น
มือใหม่สนใจอยากปลูก
ทดลองปลูกในถุงได้ไม่ยาก
“สำหรับเคลถือยังเป็นพืชที่น่าสนใจ เพราะว่าผักเคลตลาดยังกว้าง ด้วยประโยชน์และสามารถนำมาแปรรูปได้เป็นหลากหลายผลิตภัณฑ์ ไม่จำเป็นต้องขายแค่ใบอย่างเดียว แต่เราขายเป็นกระถาง เราอาจจะทำแบบเคลม่วงที่ปลูกมาเพื่อเป็นไม้ประดับหรือเอาไว้ทานก็ได้ ตรงนี้น่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นได้ด้วย หรือจะเพาะต้นกล้าขายก็ได้เหมือนกัน ส่วนขั้นตอนการปลูกต้องคำนึงอะไรบ้าง อันดับแรกต้องมีพื้นที่ที่เหมาะสมในการปลูก เราอาจจะหาพื้นที่ที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก ยิ่งถ้าจะปลูกไว้ทานเองก็ง่าย ไม่ต้องใช้ทุนเยอะ เหมือนกับการปลูกผักสวนครัว แต่ว่าการปลูกผักเคลเราอาจจะต้องมีเวลาให้ช่วงแรกๆ หน่อยในเรื่องของสภาพอากาศ เช่น การพรางแสง และก็ในเรื่องของการใช้สเปรย์พ่นหมอกก็มีผล” คุณใหญ่ กล่าวทิ้งท้าย
สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทร. 098-473-3123 หรือติดต่อได้ที่ช่องทางเฟซบุ๊ก : Organra Farm Kale – ออร์แกนร่าฟาร์มเคล
………………………….
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก เมื่อวันจันทร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2566