ผู้เขียน | เมย์วิสาข์ |
---|---|
เผยแพร่ |
ชื่อวิทยาศาสตร์ Shorea obtusa Wall.ex Blume
ชื่อสามัญ Burma Sal, Siamese Sal, Thitya
ชื่อวงศ์ DIPTEROCARPACEAE
ชื่ออื่น ชันตก (ตราด) แงะ (ภาคเหนือ) จิก (ภาคอีสาน) เอื้อ ไม้แงะ ลานิ แลเน่ย (กะเหรี่ยง) อองเลียงยง (กะเหรี่ยงกาญจนบุรี) ประจั๊ด (เขมรบุรีรัมย์) ประเจี๊ก (เขมรสุรินทร์) พะเจ๊ก (เขมรพระตะบอง) เน่าใน (แม่ฮ่องสอน)
ผมรู้สึกว่าชื่อผมมีความหมายกับกองเชียร์ทุกรูปแบบ เพราะในคำภาษาอังกฤษใช้คำว่า favorite เคยแปลว่า “โปรดปราน” เพิ่งมารู้ว่าหมายถึง “ตัวเต็ง” ก็ได้ แต่พอมาเกี่ยวกับต้นไม้ “ต้นเต็ง” กลายเป็นไม้โบราณ ที่ใช้งานมานานและกว้างไกลทั่วประเทศไทย น้อยใจอยู่บ้างที่ถูกนำไปใช้เป็นที่ “รองรับ” ทั้งน้ำหนักและความเร็ว ทอดยาวจากเหนือจรดใต้ อีสาน ตะวันตก ตะวันออก ก็ “หมอนรองรางรถไฟ” ไงละจ๊ะ น่าภูมิใจหรือน่าเจ็บใจสำหรับเนื้อไม้ที่แข็งแรงทนทาน ถูกวางนอนเรียงรายอัดด้วยหินย่อย ตากแดดตากฝนตรึงด้วยเหล็กเส้นใหญ่ยาว มี “ม้าเหล็ก” เหยียบย่ำผ่านเช้า-เย็น อยู่ได้เป็นร้อยปีมาแล้ว ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 พอลุกจากรางได้ เขาก็นำมาทำเสาป้าย-ม้านั่งสถานีรถไฟ เพราะมีลายไม้สวยและร่องไม้แตกธรรมชาติสุดคลาสสิก สงสัยอยู่อย่างเดียวที่ขัดแย้งกับความรู้สึกคือ ทำไมที่แม่ฮ่องสอนเขาจึงเรียกว่า “เน่าใน”
ชื่อ “เต็ง” คำเดียวแต่มีเรื่องมากมายที่จะตั้งข้อสงสัยและแก้ตัว เพราะมีทั้งคำถามคำตอบที่น่าสนใจ ปุจฉา Burma Sal และ Siamese Sal เกี่ยวอะไรกับ “Sal” วิสัชนา Burma และ Siamese คือ พม่า และประเทศสยามเดิม ที่พบ “ต้นเต็ง” เป็นครั้งแรก จึงถูกตั้งชื่อตามที่พบ สำหรับคำว่า Sal ก็คือ “Salt” คือ “เกลือ” นั่นเอง เนื่องจากเนื้อไม้ชนิดนี้ เมื่อถูกเผาแล้วจะได้ถ่านสีขาวเหมือนเกลือ จึงเป็นเรื่องแปลกอีกอย่างหนึ่ง “เต็ง” มีสถานะเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. การลักลอบตัดไม้เป็นเรื่องผิดกฎหมายต้องมีใบอนุญาตการตัดโค่น เห็นได้ว่าบ้านเรือนไหน ที่ปลูกสร้างด้วย “ไม้เต็ง” แสดงว่ามีเงินหรือมีฐานะดี
ปัจจุบันไม้เต็งจึงเป็นไม้หายากและราคาแพง แม้ว่าในธรรมชาติเจริญเติบโตได้ดีทั้งในดินลูกรังและดินหินทราย ส่วนใหญ่พบที่ระดับความสูงเหนือน้ำทะเล ได้ถึง 1,300 เมตร พบผมได้ทั้งในเมืองไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา และในภูมิภาคอินโดจีน
ต้นเต็งเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางแต่บางท้องที่ สูงได้มากกว่า 15-20 เมตร หรืออาจถึง 30 เมตรได้ มีเรือนยอดเป็นพุ่มกว้าง ผลัดใบ ส่วนใหญ่ลำต้นเปลาตรง แต่ก็มีคดงอ เปลือกต้นด้านนอกสีน้ำตาลเทา แตกร่องเป็นสะเก็ดหนา เปลือกด้านในสีน้ำตาลแกมเหลือง กระพี้สีน้ำตาลอ่อน ส่วนแก่นมีสีน้ำตาลเข้ม ใบเดี่ยวออกเรียงสลับ รูปใบขอบขนานหรือรูปทรงรี โคนใบมนทู่ ปลายใบอาจมนแหลม ใบสีเขียวอมเหลือง ใบหนาผิวสากมีขนประปราย ใบแก่สีเหลืองส้มจะร่วงหล่นพื้น ออกดอกเป็นช่อแยกแขนงตามปลายกิ่งหรือง่ามใบ ช่อดอกมีขนนุ่ม ขนาดเล็กสีขาวนวล กลีบรองดอกกลีบดอกสีขาวแกมเหลือง มีกลิ่นหอม ปลายกลีบแยก โคนกลีบดอกซ้อนทับกันและจีบเวียนตามเป็นกังหัน มีเกสรตัวผู้ขนาดเล็ก 20-25 อันรอบเกสรตัวเมีย ยอดเกสรมี 3 พู ก้านดอกสั้น
ออกดอกประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ เมื่อเป็นผลเป็นรูปกลมหรือรูปไข่ มีปีกสั้น 2 ปีก ยาว 3-5 เซนติเมตร และปีกยาวอีก 3 ปีก ภายในมีเมล็ด ผลแก่ช่วงเมษายนถึงกรกฎาคม เมื่อบานพร้อมกันทั้งต้นจะดูสวยงามและมีกลิ่นหอม ยามที่ร่วงหล่นจะตกลงมาหมุนติ้วคล้ายผลลูกยาง หากมีลมพัดก็จะหมุนลอยเหมือนเฮลิคอปเตอร์บินไปได้ไกล ตกที่ไหนเจริญเป็นต้นใหม่ขยายพันธุ์ต่อไปได้
ผมถูกแซวว่า “ตกมัน” ความจริงคือ “ชันยาง” ที่ซึมออกมาจากเปลือกต้นเป็นหยดเกาะสีขุ่นสามารถใช้น้ำมันผสมทาไม้หรือใช้ยาแนวเรือกันรั่วซึม เครื่องใช้เครื่องมือ เฟอร์นิเจอร์ทนทานมาก รวมทั้งวัสดุจักสาน ตัวเนื้อไม้ใช้เป็นไม้เชื้อเพลิง ก่อไฟ ทดสอบแล้วว่าเนื้อไม้เต็งให้พลังงานความร้อนสูงมาก แต่ผมมีชื่อเสียงด้านความแข็งแกร่งทนทาน ดังที่ว่าถูกนำไปเป็น “หมอน” รองรางรถไฟ ไม้แก่ทำเสา รอด ตง ขื่อ พื้นกระดาน โครงสร้างเรือเดินสมุทร สรรพคุณด้านสมุนไพร เนื้อไม้และเปลือกต้น มีงานวิจัยพบว่าสารหรือน้ำมันฝาดชื่อ Pyrogallol เป็นยาสมานแผลห้ามเลือด โดยใช้เปลือกหรือเนื้อไม้ฝนกับน้ำปูนใส ทาแผล ผมชอบอยู่ในป่าเบญจพรรณ แต่ถ้าอยากพบเป็น “ดงเต็ง” ได้ใน “วนานันทอุทยาน” (WOODLAND CAMPUS PARK) ซึ่งเป็นอุทยานธรรมชาติวิทยาป่า 72 พรรษา มหาราชินีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตสกลนคร สร้างฐานข้อมูล GIS ด้านพรรณไม้ เป็นเครื่องมือศึกษาระบบนิเวศการอนุรักษ์ป่าเต็งรัง มีไม้มากกว่า 40,000 ต้น ร้อยกว่าชนิด ในจำนวนนี้ มีต้นเต็งจำนวน 5,627 ต้น (ข้อมูล พ.ศ. 2549) ผมจึงภูมิใจมากที่ได้อยู่ที่นี่
มีคนจำนวนมากกล่าวถึง “ป่าเต็งรัง” เนื่องจากคุ้นชื่อไม้เต็งและไม้รังตั้งแต่อดีตมา เพราะเป็นพืชที่อยู่ในวงศ์สกุลเดียวกัน แต่หากสังเกตความต่างส่วนโคนใบเต็งจะโค้งเข้า ส่วนโคนใบรังจะโค้งออก ที่ผมต้องกล่าวถึง “ต้นรัง” เนื่องจากเชื่อว่าคำ “เต็งรัง” ติดปากตั้งแต่โบราณ ความแข็งแรงทนทานมีเหมือนกัน จึงถูกเรียกเป็น “คู่จิ้น-คู่แฝด” เพียงแต่ต้นรัง เกี่ยวข้องกับพุทธประวัติตั้งแต่ทรงประสูติและดับขันธ์ปรินิพพานตามบรรยายในหนังสือปฐมสมโพธิกถา จัดเป็น “ไม้มงคล” คุณสมบัติทางธรรมชาติก็มีกลิ่นดอกหอม ใบอ่อนสีแดงเต็มต้น ถิ่นที่อยู่ในธรรมชาติ เรียกกันว่า “ป่าแดง”-“ป่าโคกหรือป่าแพะ” ส่วนใหญ่พบมากในภาคอีสาน ส่วนผลแก่ที่ร่วงหล่นก็มีปีกหมุนบินลอยไปได้ไกลคู่กับผลต้นเต็งไปเจริญด้วยกัน มี “ข้อคิด” จากนักวิชาการให้สติสำหรับเศรษฐีรักไม้ทรงสวยหลงใหลเสน่ห์ต้นรัง แล้วนำมาปลูกบริเวณบ้านหรือพื้นที่ส่วนตัว เมื่อเติบโตเจริญวัยนานปีโตมากใบร่วง พื้นที่ชุ่มน้ำรากเน่ายืนต้นตายไม้ใหญ่กลัวล้ม ก็ต้องเตรียมเงินอีกครั้งค่าจ้าง “ตัด-ถอน” ยกรังเชียวนะครับ
ผมมีพรรคพวกที่ชื่อคล้ายๆ กันอีกคือ “ต้นเต็งหนาม” เป็นสมุนไพร มีคุณสมบัติในตำรายาไทยพื้นบ้านภาคอีสานและตำราอายุรเวทเขตอินเดียและประเทศศรีลังกา มีประโยชน์สารพัดเช่นกัน ด้วยลักษณะคล้ายต้นรัง แต่ลำต้นมีหนามตั้งแต่ต้นเล็กๆ ภาคอีสานเรียก “ต้นฮัง” หรือ “ฮังหนาม” อยู่ในวงศ์เดียวกันทั้ง 3 ชนิด ที่ผมพูดถึงเต็งหนามเพราะผมเคยได้ยินคำว่า “เต็งหาม” ไม่รู้ว่าดีหรือไม่เพราะต้อง “หาม” แต่เรื่อง “แทงเต็ง” “ทีมเต็ง” ผมติดใจที่ “ตัวเต็ง” จะได้สวม “มงกุฎ” หรือ “นั่งเก้าอี้” นี่ซิน่าสงสัย อย่าง “เก้าอี้นายกรัฐมนตรี” ทำจาก “ไม้เต็ง” หรือไม่ เพราะเก้าอี้นายกนี้มีมาตั้งแต่ พ.ศ. 2475 กว่า 90 ปีแล้วที่ผลัดเปลี่ยนกันนั่งและ “รอ-จอง” กันนั่งแสดงว่า “เก้าอี้ไม้เต็ง” นี้ทนทานแข็งแรงคลาสสิกจริงๆ