พลิกฟื้นดิน ลดรายจ่าย สร้างรายได้ ด้วยปุ๋ยหมักอินทรีย์ชีวภาพ จากวัสดุเหลือใช้ปาล์มน้ำมัน

จังหวัดตรัง ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมโดยเกษตรกรมีการปลูกยางพาราเป็นพืชหลัก รองลงมาคือการปลูกปาล์มน้ำมัน ไม้ผล พืชผัก และพืชอื่นๆ แต่เกษตรกรมักประสบปัญหาความผันผวนของราคาสินค้าเกษตรหรือราคาตกต่ำในช่วงเวลาที่สินค้าเกษตรทยอยออกสู่ตลาดปริมาณมาก อีกทั้งยังมีต้นทุนการผลิตสูง จากปัจจัยการผลิต เช่น ปุ๋ยเคมีที่มีราคาเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้ไม่มั่นคง

นอกจากนี้ การที่เกษตรกรใช้ปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียวเป็นเวลานานอาจจะทำให้สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กในดินถูกทำลาย ดินเสื่อมสภาพ กลายเป็นดินที่แข็งแน่นทึบ การระบายถ่ายเทอากาศและนํ้าลดลง ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของรากพืช การดูดกินน้ำ และธาตุอาหารจากดิน ถึงแม้จะมีธาตุอาหารอยู่ในดินเป็นจํานวนมาก รากพืชก็ดูดกินได้ไม่เต็มที่ เกิดการสูญเสียธาตุอาหารจากปุ๋ยที่ใส่ไปโดยเปล่าประโยชน์

ซึ่งสิ่งที่กล่าวมานี้ โดยทั่วไปเกษตรกรไม่ทราบ จึงไม่ได้ให้ความสําคัญเต็มที่ในการปรับปรุงสภาพทางกายภาพและทางเคมีของดินร่วมไปกับการใช้ปุ๋ยเคมี จึงทําให้ผลที่ได้จากการใช้ปุ๋ยเคมีไม่ได้ผลเต็มที่อย่างที่เคยได้รับอีกต่อไป เสมือนว่าเมื่อใช้ปุ๋ยเคมีติดต่อกันนานปีเข้า ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นนั้นลดลงเรื่อยๆ เกษตรกรบางรายจึงต้องเพิ่มปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีเพื่อให้ได้ผลผลิตเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น ทำให้รายจ่ายด้านปัจจัยการผลิตยิ่งเพิ่มสูงขึ้น

คุณกัลยา นิ่มละมัย เกษตรกรต้นแบบ ผลิตปุ๋ยอินทรีย์

จากปัญหาดังกล่าว ทำให้ คุณกัลยา นิ่มละมัย เกษตรกรต้นแบบเจ้าของศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (ศพก.) เครือข่าย ด้านปุ๋ยอินทรีย์ ประธานกลุ่มส่งเสริมอาชีพการเกษตรการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพชุมชน และประธานวิสาหกิจชุมชนศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงบ้านโคกม่วง ตำบลเกาะเปียะ อำเภอย่านตาขาว จังหวัดตรัง ซึ่งทำการเกษตรแบบผสมผสานตามแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เกิดแนวความคิดที่ต้องการลดต้นทุนการผลิต โดยการผลิตปุ๋ยหมักอินทรีย์ชีวภาพใช้เองเพื่อปรับปรุงคุณภาพทางกายภาพของดิน ช่วยปรับปรุงดินให้ดินร่วนซุยมีการระบายน้ำ ระบายอากาศดี อุ้มน้ำดี ช่วยในการดูดซับธาตุอาหารพืชได้มากขึ้น ช่วยให้ดินมีการเปลี่ยนแปลงปฏิกิริยาดินช้าลง และทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ พืชสามารถดูดซึมธาตุอาหารจากดินได้ดี ลดการใช้ปุ๋ยเคมี และลดรายจ่ายด้านปัจจัยการผลิต

คุณกัลยา เล่าว่า แรกเริ่มในการทำปุ๋ยหมักอินทรีย์ชีวภาพ จะนำวัสดุเหลือใช้จากบ้านของตนเองและที่มีอยู่ในชุมชนมาใช้ในการผลิตและนำไปใช้ในพื้นที่ทำการเกษตรของตนเอง ซึ่งหลังจากใช้แล้วผลปรากฏว่าดินมีความอุดมสมบูรณ์ สังเกตได้จากไส้เดือนดินมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น พืชเจริญเติบโตดี ให้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้น และสามารถลดรายจ่ายจากการซื้อปุ๋ยเคมี เมื่อตนเองประสบความสำเร็จก็อยากจะถ่ายทอดความรู้ที่มีให้เกษตรกรท่านอื่นๆ บ้าง จึงเริ่มแนะนำและถ่ายทอดความรู้ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ที่สนใจ และชักชวนเกษตรกรร่วมกลุ่มกันจัดตั้งเป็นกลุ่มส่งเสริมอาชีพการเกษตรการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพชุมชนตำบลเกาะเปียะ และจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชนผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพตำบลเกาะเปียะเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2548 โดยสำนักงานเกษตรอำเภอย่านตาขาว ผลิตปุ๋ยหมักอินทรีย์ชีวภาพจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้เสริมให้กับสมาชิกของกลุ่ม

คุณอำนาจ เซ่งเซี่ยง เกษตรอำเภอย่านตาขาว และ คุณเกศรินทร์ สุวรรณวัฒน์ เกษตรตำบล เยี่ยมเยียนกลุ่ม

แต่ปัจจุบันเนื่องจากมีกิจกรรมอื่นๆ ในกลุ่มเพิ่มขึ้น เช่น การปลูกผักปลอดสารพิษ การทำฮอร์โมนเร่งดอก เร่งผล เป็นต้น จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นวิสาหกิจชุมชนศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงบ้านโคกม่วง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรอำเภอย่านตาขาวได้เข้ามาแนะนำให้ความรู้ในการบริหารจัดกลุ่มอย่างต่อเนื่อง จนกิจการไปได้ด้วยดี และคุณกัลยายังเคยได้รับรางวัลชนะเลิศ การจัดทำบัญชีวิสาหกิจชุมชนดีเด่น การบริหารจัดการโดยการใช้ข้อมูลทางบัญชี จากสำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์ที่ 9 อีกด้วย และยังมีรางวัลอื่นที่ได้รับ ได้แก่ ปี 2550 ได้รับรางวัลครูเกษตรคนเก่ง จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร, ปี 2550 ได้รับรางวัลด้านการประกอบอาชีพการเกษตรและบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมดีเด่น จากมูลนิธิอาจารย์จำเนียร สาระนาค ปี 2550 ได้รับรางวัลคนดีศรีแผ่นดิน จากหนังสือพิมพ์สื่อสารธุรกิจเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา เป็นต้น

เริ่มแรกสูตรการผลิตปุ๋ยหมักอินทรีย์ชีวภาพของกลุ่มจะปรับเปลี่ยนไปตามวัสดุเหลือใช้ที่มีอยู่ในชุมชน แต่วัสดุเหลือใช้ในชุมชนมีปริมาณไม่แน่นอน อีกทั้งยังมีความหลากหลาย ทำให้ควบคุมการผลิตและคุณภาพของปุ๋ยได้ยาก ดังนั้น เมื่อทางกลุ่มมีการผลิตเพื่อจำหน่ายจึงปรับปรับเปลี่ยนเป็นการใช้วัสดุเหลือใช้จากทะลายปาล์มซึ่งมีปริมาณมาก และคุณสมบัติของวัตถุดิบค่อนข้างคงที่ วัตถุดิบมีตลอดทั้งปี มีคุณสมบัติเหมาะสมในการทำปุ๋ยหมัก เพื่อให้ได้ปุ๋ยหมักอินทรีย์ชีวภาพที่มีคุณภาพสูง

Advertisement
สาธิตการผสมปุ๋ยแก่ผู้เข้าอบรม

การผลิตปุ๋ยหมักอินทรีย์ชีวภาพ

  1. เตรียมพื้นที่ผสมปุ๋ยบนพื้นซีเมนต์ หรือถ้าเป็นพื้นดินให้ปูผ้ายางเพื่อป้องกันปุ๋ยซึมลงดิน
  2. ผสมทะลายปาล์ม 10 ตัน กากตะกอน (ขี้เค้กปาล์มน้ำมัน) 10 ตัน มูลไก่ 25 ตัน และมูลวัว 25 ตัน คลุกเคล้าให้เข้ากัน นำ พด.1 ผสมน้ำราดให้ทั่วกอง
  3. หลังจากคลุกเคล้าผสมแล้ว รดน้ำให้พอเปียกไม่ต้องแฉะ ตั้งกองให้สูงอย่างน้อย1 เมตร เพื่อให้มีการสะสมความร้อนในช่วงแรกของการหมักในช่วง15 วันแรกของการหมัก ควรปิดกองปุ๋ยด้วยพลาสติกเพื่อรักษาความชื้นและเพิ่มอุณหภูมิภายในกอง และเริ่มกลับกองหลังจากครบ 15 วัน และกลับกองทุก 7 วัน แต่ถ้าพบว่าปุ๋ยหมักแห้งให้รดน้ำ
  4. เมื่อครบ 2 เดือนหรือปุ๋ยหมักเริ่มเปื่อย ขณะกลับกองให้ใส่ พด.2 เพิ่มให้ทั่วกอง หมักไว้จนครบ 6 เดือน
  5. นำ พด.3 ปริมาณ 1 ซอง ผสมน้ำแบ่งเป็น 3 ส่วน
  6. นำปุ๋ยหมักที่ได้ 30 กิโลกรัม มูลไก่ 10 กิโลกรัม มูลวัว 10 กิโลกรัม และ พด.3 1 ส่วน ผสมให้เข้ากันด้วยเครื่องผสมปุ๋ยหมักแล้วนำมากองรวมกันไว้สูงประมาณ 0.5 เมตร ทิ้งไว้ประมาณ 7-40 วัน
  7. ตรวจเช็กความชื้นต้องไม่เกิน 30 เปอร์เซ็นต์ อุณหภูมิไม่เกิน 25-30 องศา จึงนำลงบรรจุกระสอบเก็บไว้ใช้ หรือจำหน่ายต่อไป
ทะลายปาล์ม

วิธีใช้

Advertisement
  1. ผสมปุ๋ยหมักชีวภาพกับดินในแปลงปลูกผักทุกชนิดในอัตรา 1 กิโลกรัมต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร
  2. พืชผักอายุเกิน 2 เดือน เช่น กะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว แตง และฟักทอง ใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพคลุกกับดินรองก้นหลุมก่อนปลูกกล้าผัก ประมาณ 1 กำมือ
  3. ไม้ผล ควรรองก้นหลุมด้วยเศษหญ้า ใบไม้แห้ง ฟาง และปุ๋ยหมักชีวภาพ 1-2 กิโลกรัม สำหรับไม้ที่ปลูกแล้วใส่ปุ๋ยหมักชีวภาพแนวทรงพุ่ม 1-2 กำมือต่อ 1 ตารางเมตร แล้วคลุมด้วยหญ้าแห้ง ใบไม้แห้ง หรือฟาง แล้วรดน้ำสกัดชีวภาพให้ชุ่ม
  4. ไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้กระถาง ควรใส่ปุ๋ยหมักชีวภาพเดือนละ 1 ครั้ง ครั้งละ 1 กำมือ
กระบวนการผสมปุ๋ย

ผลิตภัณฑ์ปุ๋ยหมักอินทรีย์ชีวภาพของกลุ่มมีการควบคุมดูแลคุณภาพให้ได้มาตรฐานจากกรมพัฒนาที่ดิน โดยการเก็บตัวอย่างไปตรวจวิเคราะห์ ทุกๆ 3 เดือน จึงผ่านการรับรองมาตรฐานจากกรมพัฒนาที่ดิน และยังได้รับการรับรองมาตรฐาน Q จากกรมวิชาการเกษตร โดยบรรจุลงบรรจุภัณฑ์ กระสอบละ 10-25 กิโลกรัม จำหน่ายในราคากิโลกรัมละ 6 บาท หรือกระสอบละ 60-150 บาท ซึ่งถ้าเปรียบเทียบราคากับปุ๋ยเคมีที่มีน้ำหนัก 50 กิโลกรัมต่อกระสอบ ราคากระสอบละ 500-1,000 บาทขึ้นไป แล้วปุ๋ยหมักอินทรีย์ 50 กิโลกรัม มีราคาแค่ 300 บาท เท่านั้นจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เกษตรกรสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ โดยกลุ่มสามารถผลิตปุ๋ยหมักอินทรีย์เฉลี่ยได้ 4-5 ตันต่อเดือน และมียอดสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เป็นผลให้สร้างรายได้เข้ากลุ่มปีละประมาณ 200,000-300,000 บาท จึงถือได้ว่าการที่เกษตรกรผลิตปุ๋ยหมักอินทรีย์ชีวภาพใช้เองนอกจากจะช่วยปรับปรุงคุณภาพดิน ลดรายจ่ายด้านปัจจัยการผลิตแล้วก็ยังสามารถสร้างรายได้เสริมให้แก่เกษตรกรได้อีกด้วย

สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ คุณกัลยา นิ่มละมัย วิสาหกิจชุมชนศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงบ้านโคก เลขที่ 61/5 หมู่ที่ 4 ตำบลเกาะเปียะ อำเภอย่านตาขาว จังหวัดตรัง โทร. 096-581-8909 หรือสอบถามสำนักงานเกษตรอำเภอย่านตาขาว โทร. 075-281-241