เผยแพร่ |
---|
ใครที่กำลังมองหาต้นไม้ไว้ปลูกไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน หรือที่สวนก็ตาม วันนี้เทคโนโลยีชาวบ้านจะมาแนะนำ “ไม้ยืนต้นกินได้” ที่เรียกได้ว่าปลูก 1 ได้ประโยชน์ถึง 3 อย่าง ปลูกครั้งเดียวเก็บกิน เก็บขายได้ทั้งปี แถมยังช่วยเพิ่มร่มเงาให้อยู่เย็นสบายอีกด้วย ว่าแต่จะมีชนิดไหนกันบ้างตามมาดูกันเลย
1. ดอกแคนา เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดเล็กถึงขนาดกลาง จัดเป็นต้นไม้ทรงพุ่ม กลายมาเป็นไม้ประดับยอดนิยมตามสวนสาธารณะ ทั้งยังสามารถเก็บดอกทรงปากแตร สีขาวสวยงาม กลิ่นหอมอ่อนๆ มาลวกจิ้มน้ำพริก เรียกว่าปลูกเอง เก็บเอง กินเอง แถมยังขายเสริมรายได้ช่วงวันหยุดได้อีกด้วย
• ลักษณะของดอกแคนา
เป็นต้นไม้ที่สามารถทนทานต่อสภาพอากาศได้ดี ดูแลง่าย จะมีความสูงของต้นประมาณ 10-20 เมตร ลำต้นตรง แตกกิ่งก้านสาขาต่ำ ใบมีรูปร่างคล้ายทรงรีหรือรูปไข่ โดยใบออกตรงข้ามกันประมาณ 3-5 คู่ โคนใบเบี้ยว ปลายใบมน ใบจะหยักคล้ายซี่ฟันตื้น ต้นแคนาจะออกดอกเป็นช่อกระจะสั้น ดอกมีขนาดใหญ่ คล้ายรูปแตรสีขาว ซึ่งจะออกดอกที่บริเวณปลายกิ่ง ดอกบานจะมีสีขาว ส่วนดอกตูมจะมีสีเขียว ดอกแคนาจะค่อยๆ บานออกทีละดอก ส่วนใหญ่ดอกจะบานในตอนกลางคืน ซึ่งดอกมีกลิ่นหอม และจะออกดอกช่วงเดือนมีนาคมถึงมิถุนายน อีกทั้งยังเป็นต้นไม้ที่แตกกิ่งได้ง่ายจึงควรปลูกห่างจากรั้วบ้านประมาณ 1-1.5 เมตร
• การขยายพันธุ์
นิยมการเพาะเมล็ด ซึ่งดินที่ใช้ในการปลูกควรเป็นดินร่วน ปนดินทราย หากใช้ดินเหนียวแน่นมากเกินไปอาจทำให้รากไม่งอกได้ เมื่อเมล็ดมีรากงอก และโตพอสมควร สามารถย้ายลงหลุมปลูกได้
• สรรพคุณและประโยชน์
เหมาะสำหรับการปลูกเพื่อสร้างร่มเงา หรือปลูกเพื่อประดับตกแต่งสวน เนื่องจากมีดอกที่สวยงาม และดอกแคนา สามารถนำไปประกอบอาหารได้ เนื้อไม้แคนาสามารถนำมาแปรรูปใช้เป็นไม้เพื่อตกแต่ง
2. ดอกแคบ้าน ของดีอร่อยริมรั้วที่ต้องปลูกติดบ้าน เรียกว่าคนไทยนิยมกิน ไม่ว่าจะเป็นส่วนยอดอ่อน ใบอ่อน ดอก สามารถปรุงอาหารได้หลายชนิด โดยในประเทศไทยนั้นถือว่าแคบ้านเป็นพืชพื้นบ้านที่พบได้ทั่วไปทั้งในทุกภาคของประเทศไทย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักจะพบการปลูกตามคันนาและบริเวณบ้านเรือนในชนบท ทั้งนี้ แคบ้านเจริญเติบโตได้ดีทั้งในที่แห้งแล้งและชุ่มชื้นจึงสามารถปลูกได้ทุกพื้นที่
• ลักษณะของดอกแคบ้าน
ไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูงประมาณ 5-10 เมตร กิ่งก้านเปราะหักง่ายเพราะเป็นไม้เนื้ออ่อน เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลปนเทา มีเปลือกหนาและมีรอยขรุขระที่แตกเป็นสะเก็ด ดอกจะมีทั้งสีขาวและสีแดง ลักษณะคล้ายฝักถั่ว ออกเป็นช่อบริเวณซอกใบ ช่อละ 2-4 ดอก ชอบดินร่วนระบายน้ำได้ดี ขึ้นได้ในดินทุกชนิด เป็นไม้ยืนต้นที่ทนแล้งได้ดี
• การขยายพันธุ์
นิยมขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด โดยเริ่มจากการนำเมล็ดที่แก่จัดมาแช่น้ำไว้ 1 คืน จึงนำมาเพาะในกระบะเพาะหรือถุงดำ พอต้นกล้าสูงได้ประมาณ 30-35 เซนติเมตร จึงนำลงปลูกโดยหลุมปลูกควรมีขนาด 30x30x30 เว้นระยะระหว่างต้นประมาณ 1.5 เซนติเมตร และระหว่างแถวประมาณ 2 เมตร
• สรรพคุณและประโยชน์
แคบ้านนิยมปลูกไว้เป็นรั้วบ้าน เพื่อพรางสายตา หรือนิยมปลูกตามคันนาริมถนนข้างทาง อีกทั้งต้นแคยังเป็นพืชที่ช่วยปรับปรุงดินไปได้ในตัวอีกด้วย แคเป็นพืชที่มีจุลินทรีย์ที่ปมราก เมื่อจับกับก๊าซไนโตรเจนในอากาศจะผลิตเป็นปุ๋ยที่พืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
3. กระถิน เป็นพืชตระกูลเดียวกับถั่วที่ช่วยปรับปรุงดินให้ดีขึ้น เป็นไม้ขนาดกลางที่ปลูกง่าย โตเร็ว สามารถเจริญเติบโตได้ดีในทุกสภาพอากาศ เป็นไม้ไม่ผลัดใบ จะแตกยอดอ่อนตลอดปี บำรุงต้นดีๆ เด็ดยอดกินหรือขายได้ตลอดปี ชาวบ้านนิยมปลูกเป็นรั้วบ้าน ที่เรียกว่า “รั้วกินได้” ไม้กระถินใช้ประโยชน์ได้ดี
• ลักษณะของกระถิน
รากแขนงฝอยแผ่ขยาย ลำต้นสีน้ำตาลเทา ดอกพุ่มกลมสีขาว-เหลือง ใบเรียงสลับซับซ้อนกันรูปเรียวเล็ก ส่วนในฝักมีเมล็ดเรียงตามขวางอยู่ประมาณ 15-30 เมล็ด และจะออกผลในช่วงเดือนกรกฎาคมจนถึงมกราคม เมล็ดมีลักษณะเป็นรูปไข่แบนกว้าง มีสีน้ำตาลเป็นมัน
• การขยายพันธุ์
เป็นไม้ที่มีเมล็ดมาก ขยายพันธุ์ได้ เมื่อฝักแก่จะแตกเมล็ดตกร่วงหล่นใต้ต้น และงอกต้นใหม่เมื่อมีความชื้นเหมาะสม แพร่ขยายต้นใหม่รวดเร็วมาก ปริมาณมาก จะใช้วิธีขุดต้นอ่อนบริเวณโคนต้นไปปลูกที่ใหม่ หรือเก็บฝักแก่แกะเอาเมล็ดไปโรยลงหลุม หรือทำร่องโรย สามารถนำไปปลูกเป็นแนวรั้ว หรือแนวกันลมกันไฟได้ เพราะเป็นไม้ที่ไม่ผลัดใบ
• สรรพคุณและประโยชน์
นำกระถินมาเป็นยา เป็นอาหารได้ ใบอ่อน ยอดอ่อน ฝักอ่อน กินเป็นยาแก้ท้องร่วงได้ เป็นยาสมานแผลห้ามเลือด ฝักกระถิน เปลือกต้นกระถินเป็นยาฝาดสมาน เมล็ดเป็นยาถ่ายพยาธิ รากใช้เป็นยาบำรุงเป็นยาอายุวัฒนะ ขับลม และขับระดูขาว ชาวบ้านนิยมนำมากินเป็นผักสดร่วมกับน้ำพริกปลาร้า น้ำพริกปลาย่าง ส้มตำ พล่ายำ ลาบก้อย แกงรสจัด ขนมจีนน้ำยา ขนมจีนน้ำเงี้ยว ฝักที่สดยังไม่แก่จัด แกะเมล็ดกินเล่นแก้ปากว่างก็มันดีมาก ยอดอ่อนหน้าฝนจะอวบอ้วน กรอบมันอร่อยน่ากิน
4. ผักติ้ว เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ส่วนใหญ่จะพบในโซนภาคอีสาน หลายๆ บ้านอาจจะปลูกไว้เพื่อเก็บยอดอ่อนไว้กิน หรือเพื่อใช้ประโยชน์ทางสมุนไพร โดยส่วนประกอบของ “ผักติ้ว” ที่นำมาประกอบอาหารก็จะมีส่วนช่อดอกสด ยอดใบอ่อน เนื่องจากมีรสชาติเปรี้ยว อมฝาด นิยมนำไปต้มแกง หรือเป็นผักแกล้ม กับเมนูต่างๆ
ผักติ้วปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู แกงปลาย่างใส่ผักติ้ว แกงปลาใส่ไข่มดแดง แกงเห็ดนางรม แกงส้มใบแต้ว แกงเห็ดปลวกใส่ผักติ้ว ทางภาคอีสานชาวบ้านทั่วไปนิยมนำมาใส่ต้มยำแทนมะนาว หรือกินกับลาบ ส้มตำ น้ำตก ปลาร้าแจ่วบอง ก็แซ่บอีหลี และที่สำคัญยังขายได้ราคาดีอีกด้วย เนื่องจากตลาดยังมีความต้องการ นอกจากมาเป็นเมนูต่างๆ แล้วยังนำมาปรุงเป็นยาได้ด้วย
• ลักษณะของผักติ้ว
ตัวเรือนยอดมีลักษณะทรงพุ่มออกกลม ที่โคนต้นมีหนาม กิ่งและก้านเรียวๆ กิ่งอ่อนจะมีขนนุ่มปกคลุม ใบจะมีลักษณะวงรีแกมรูปไข่ หรือรูปขอบขนาน ส่วนปลายใบจะมน จะออกดอกในช่วงเดือนมกราคมถึงพฤษภาคม 1 ดอกจะมีจำนวน 5 กลีบ ก้านของดอกจะมีความเรียวเล็ก
• การขยายพันธุ์
เพาะเมล็ด : โดยนำเมล็ดที่มีความแก่จัดไปตากแดดจนแห้งจนเมล็ดแตกออก จากนั้นนำไปหว่านในแปลงที่จะปลูก รดน้ำให้ชุ่ม
ปักชำ : ทำเหมือนการตอนกิ่งทั่วไป เมื่อนำกิ่งตอนลงปลูกก็บำรุงด้วยปุ๋ยคอกเดือนละครั้ง หมั่นรดน้ำสม่ำเสมอ
• สรรพคุณและประโยชน์
ผักติ้ว น้ำหนัก 100 กรัม มีเส้นใยอาหารอยู่ 1.4 กรัม ช่วยป้องกันอาการท้องผูก มีแคลเซียม 67 มิลลิกรัม ลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกระดูกพรุน มีไนอะซิน 3.1 มิลลิกรัม วิตามินซี 56 มิลลิกรัม ช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กและช่วยให้แผลหายเร็ว ผักติ้วยังมีเบตาแคโรทีนและวิตามินเออยู่สูง ช่วยต้านอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายต่อร่างกายและบำรุงสายตา
5. ขี้เหล็ก เป็นต้นที่ปลูกง่าย ดูแลรักษาง่าย เรียกได้ว่าเป็นทั้งผักสวนครัวและสมุนไพรที่มากประโยชน์ ในการปลูกต้นขี้เหล็กจะต้องปลูกในสวนผัก หรือริมรั้วบ้าน เนื่องจากต้นขี้เหล็กเมื่อเจริญเติบโตเต็มวัยจะมีรากเป็นรากแก้ว อาจจะเกิดการแทรกดินลงไปลึก ถ้าหากปลูกใกล้บ้านอาจจะทำให้บ้านถูกรากแก้วชอนไชจนเกิดความเสียหายได้ และเป็นต้นที่ชอบแสงแดดตลอดทั้งวันอีกด้วย
• ลักษณะของขี้เหล็ก
เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สามารถสูงได้ถึง 10-15 เมตร ขี้เหล็กจะออกดอกช่วงมกราคมไปจนถึงมีนาคมของทุกปี ควรหมั่นเด็ดยอดให้แตกทรงพุ่มต่ำ เพื่อให้แตกสาขาพุ่มเตี้ยและกว้าง เพื่อที่จะได้ดอกที่ออกตามยอด ใบมีลักษณะเป็นรูปทรงรี โคนใบมน ปลายใบมน มีกลิ่นเฉพาะตัว มีรสชาติขมที่เป็นเอกลักษณ์
• การขยายพันธุ์
นิยมขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดแล้วย้ายกล้าปลูก ขี้เหล็กเป็นไม้โตเร็วสามารถขึ้นได้ในดินทั่วไป ส่วนใหญ่จะปลูกเพื่อใช้ใบอ่อนและดอกนำมาใช้ประโยชน์ ใช้ระยะปลูก 3×3 เมตร ควรกำจัดวัชพืช 1-2 ครั้งต่อปี และการเก็บเกี่ยวสามารถเก็บเกี่ยวได้หลังจากปลูกแล้ว 1 ปี ดอกขี้เหล็กจะบานเดือนกันยายนถึงตุลาคม
• สรรพคุณและประโยชน์
นิยมปลูกเพื่อให้ร่มเงา และยอดอ่อนกับช่อดอกเก็บกินได้ตลอดทั้งปี รากขี้เหล็กช่วยตรึงไนโตรเจนทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ขึ้น ใบขี้เหล็กมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ดอกขี้เหล็กมีวิตามินที่ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค ป้องกันหวัด ช่วยทำให้แผลหายเร็วขึ้น
6. สะเดา ปัจจุบันสะเดาเป็นผักอีกชนิดที่สามารถสร้างรายได้ที่คนไทยนิยมนำมาบริโภค ต้นสะเดานั้นสามารถพบเจอได้ทั่วไป ในป่าแล้ง สะเดาเป็นต้นไม้อีกหนึ่งชนิดที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย อีกทั้งยังมีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพรที่น่าสนใจ
• ลักษณะของสะเดา
เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ โดยมีความสูงประมาณ 20-25 เมตร สะเดาเป็นไม้เรือนยอดทรงพุ่มหนาทึบตลอดทั้งปี ต้นสะเดาจะมีใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียว โคนใบเบี้ยว ส่วนปลายใบเรียงตัวสลับกัน ใบย่อยคล้ายรูปเคียวโค้ง ลักษณะผลของสะเดา จะมีเนื้อเมล็ดเดียวและแข็ง ผลมีรูปทรงกลมคล้ายผลองุ่น ผลสุกจะมีสีเหลืองอมสีเขียวและมีรสชาติหวานเล็กน้อย ต้นสะเดาจะมีระยะการติดดอกและผลในระหว่างเดือนธันวาคมถึงมีนาคม และผลจะสุกในช่วงเดือนมีนาคมถึงมิถุนายน
• การขยายพันธุ์
วิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ การเพาะเมล็ด โดยสามารถเก็บผลสุกจากต้นสะเดามาขยำกับทราย และล้างน้ำเพื่อให้เนื้อเยื่อที่หุ้มผลหลุดออก จากนั้นนำเมล็ดไปผึ่งแดดให้แห้ง แล้วเพาะลงในถุงพลาสติก หรือเพาะลงในแปลงดิน ด้วยการหว่านเมล็ดให้กระจายทั่วแปลงและกลบหน้าดินหนาประมาณ 0.5 เซนติเมตร ควรใช้ฟางบางๆ ปกคลุมหน้าดิน จากนั้นให้รดน้ำทุกเช้าเย็น เพื่อสร้างความชุ่มชื้น เมื่อเมล็ดเริ่มงอกภายใน 5-7 วัน สามารถย้ายลงถุงพลาสติก หรือแยกออกไปปลูกในแปลงต่างหากได้ ระยะการปลูกที่เหมาะสมแนะนำให้ใช้ระยะปลูก 1×2 หรือ 2×2 เมตร แต่หากต้องการใช้ประโยชน์จากเนื้อไม้สะเดา หรือปลูกโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการก่อสร้าง ทำเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ควรใช้ระยะปลูก 2×4 หรือ 4×4 เมตร
• สรรพคุณและประโยชน์
ใบแก่ของสะเดาเป็นยาบำรุงธาตุ ช่วยย่อยอาหาร ใช้แก้ไข้ และใช้พอกฝีบรรเทาอาการอักเสบหรือปวดบวม ดอกของสะเดาเป็นยาแก้พิษโลหิต บรรเทาอาการเลือดกำเดาไหล แก้คันคอ บำรุงธาตุไฟและแก้โรคริดสีดวง เนื้อไม้ของสะเดา มีลักษณะคล้ายกับเนื้อไม้ของต้นมะฮอกกานี เหมาะสำหรับการใช้ในงานก่อสร้างหรือทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ ปัจจุบันนิยมนำเมล็ดของสะเดามาสกัดเป็นน้ำมันสะเดา ที่มีคุณสมบัติในการป้องกันและกำจัดหนอนชอนใบ หนอนแก้ว แมลงหวี่ขาว โรคราแป้งหรือโรคไรขาว ไรแดง ไรสนิมต่างๆ ฯลฯ ใช้ในทางการเกษตรเป็นสารเคมีหรือยากำจัดวัชพืชที่ปลอดภัยและไม่เป็นอันตราย
7. มะรุม เป็นพืชที่ปลูกง่าย เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด และทนต่อโรค แม้แต่ปลูกในกระถางก็ให้ผลดีและอยู่ได้หลายปี ถือว่าเป็นพืชทนแล้งได้ดี อายุยืน ตนมะรุมพบไดทุกภาคในประเทศไทย
• ลักษณะของมะรุม
เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง 3-4 เมตร ทรงต้นโปร่ง ใบเป็นแบบขนนก หรือคล้ายกับใบมะขาม ใบมีรสหวานมัน ออกดอกในฤดูหนาว บางสายพันธุ์ออกดอกหลายครั้งในรอบปี สามารถออกดอกและผลได้ภายในปีแรกที่ปลูก ดอกเป็นดอกช่อสีขาว กลีบเรียงกันมี 5 กลีบ รสขม หวาน มัน ผลเป็นฝักยาว เปลือกมีสีเขียว
• การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์ไดด้วยการเพาะเมล็ด และการปกชํา หรือกิ่งตอน สวนมากจะนิยมเพาะเมล็ดในถุงดําก่อน กอนปลูกแกะถุงดำออก นําตนกลามะรุมลงปลูกกลางหลุมกลบดิน รดน้ำ ใชไมปักมัดด้วยเชือก ดูแลงายไมยุงยากซับซอน เกษตรกรจึงมักนิยมปลูกมะรุมไวริมรั้วบานหรือหลังบาน 1-5 ตน เพื่อใหเป็นผักคู่บานคูครัวแบบพอเพียง
• สรรพคุณและประโยชน์
“มะรุม” ถือเป็นต้นไม้มหัศจรรย์ที่เรียกได้ว่า “โรงงานยาในบ้าน” ก็ว่าได้ สรรพคุณใช้เป็นยาทั้งภายนอกและภายในร่างกาย มีคุณประโยชน์ที่สามารถใช้รักษาโรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี และยังสามารถนำทุกส่วนมาใช้เป็นยาได้ ไม่ว่าจะเป็น ใบ เปลือก ฝัก เมล็ด หรือน้ำมัน ส่วนใบสดใช้เป็นอาหาร ใบแห้งสามารถทำเป็นผง เก็บไว้ได้นาน
8. มะขามเปรี้ยว เป็นพืชที่ปลูกง่าย สามารถขึ้นได้ดีในดินแทบทุกชนิด จัดว่าเป็นไม้ยืนต้นที่ทน ไม่ต้องการการดูแลมากมาย หากมีฝนตกอย่างสม่ำเสมอก็ไม่มีความจำเป็นต้องให้น้ำ
• ลักษณะของมะขามเปรี้ยว
เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่แตกกิ่งก้านสาขามาก เปลือกต้นขรุขระและหนา สีน้ำตาลอ่อน ใบมน ดอก ออกเป็นช่อเล็กๆ ตามปลายกิ่ง เมื่อแก่ฝักเปลี่ยนเป็นเปลือกแข็งกรอบหักง่าย สีน้ำตาล เนื้อในกลายเป็นสีน้ำตาลหุ้มเมล็ด เนื้อมีรสเปรี้ยว และหวาน
• การขยายพันธุ์
เหมาะที่จะปลูกในฤดูฝน ใช้กิ่งพันธุ์ปลูกโดยการขุดหลุมและใส่ปุ๋ยที่ก้นหลุมก่อน ดูแลรักษาเหมือนกับพืชโดยทั่วไป นิยมขยายพันธุ์โดยการทาบกิ่ง ติดตาหรือต่อกิ่ง เพราะได้ผลเร็วและไม่ทำให้กลายพันธุ์ เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนในดินเหนียวทนแล้งได้ดี
• สรรพคุณและประโยชน์
สรรพคุณทางยาที่เป็นที่รู้จักดีคือ มะขามเป็นยาระบายอ่อนๆ แก้อาการท้องผูก นอกจากกินเป็นผลไม้แล้ว ยังเป็นเครื่องปรุงในอาหารไทยหลากหลายชนิดและมีคุณค่าทางโภชนาการให้วิตามินสูงโดยเฉพาะ ยอดอ่อนและฝักอ่อนใช้ต้มทำแกงชนิดต่างๆ ให้รสเปรี้ยวมาก มีวิตามินเอสูงมาก ช่วยบำรุงสายตาได้ดีมาก
9. ยอ เป็นต้นไม้ที่ปลูกไว้กิน และยังสามารถปลูกเพื่อไว้ประดับบ้าน ถือเป็นไม้มงคลถ้าปลูกในทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตัวบ้านก็จะเป็นสิริมงคลแก่เจ้าของบ้านและสมาชิกในบ้านอีกด้วย ส่วนเรื่องโรคและแมลงนั้นไม่ค่อยมีปัญหามากนัก เพราะเป็นไม้ที่ค่อนข้างมีความทนทาน สามารถปลูกในดินทุกชนิด แต่จะปลูกได้ดีในดินร่วน เป็นไม้ที่ชอบน้ำ จึงควรรดน้ำจนชุ่มทุกเช้าและเย็น ยอยังมีประโยชน์ในด้านอาหาร และด้านยารักษาโรค ที่คนสมัยก่อนนิยมนำมาใช้จนถึงปัจจุบัน
• ลักษณะของยอ
เป็นไม้ต้นขนาดเล็กที่มีความสูงประมาณ 2-6 เมตร และมีการแตกกิ่งก้านไม่มาก เปลือกของลำต้นจะมีสีน้ำตาลอมเทา ดอกของต้นยอจะมีกลิ่นหอม การออกดอกจะเป็นช่อกระจุกตามซอกของใบ ดอกมีขนาดค่อนข้างเล็ก ลักษณะเป็นรูปดอกเข็ม กลีบดอกมีสีขาวจำนวน 5 กลีบ ผลมีตาหรือตุ่ม ผลยามอ่อนเป็นสีเขียว แต่ยามแก่ผลจะออกสีเหลืองหรือขาวนวลๆ ผลมีกลิ่นออกฉุนๆ ไม่หอม
• การขยายพันธุ์
นิยมขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด ทำได้โดยการบีบเมล็ดออกจากผลสุก จากนั้นล้างเมล็ดด้วยน้ำและกรองเอาเมล็ดออก ต่อไปนำเมล็ดไปตากแห้งสัก 3-5 วัน แล้วจึงนำไปเพาะในถุงเพาะชำจนต้นงอกและมีความสูงได้ประมาณ 30 เซนติเมตร จึงนำไปลงปลูก (หมายเหตุ: จะต้องใช้เมล็ดจากผลสีขาวซึ่งสุกจัดที่ร่วงจากต้น)
• สรรพคุณและประโยชน์
ทุกส่วนของต้นยอเรียกว่ามีประโยชน์อย่างมาก ช่วยบำรุงหัวใจ กระตุ้นระบบหมุนเวียนเลือด ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ลดระดับน้ำตาลในเลือด เป็นต้น นอกจากจะเป็นยาชั้นดีแล้ว ยังนำมาประกอบอาหารได้หลากหลาย แต่ละเมนูทำเอาน้ำลายไหลเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น แกงปลาดุกใบยอ แหนมผักใบยอ แกงคั่วปลาดุกใบยอ เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก : wisdomking.or.th, kaset.today, กรมส่งเสริมการเกษตร