เผยแพร่ |
---|

ดร.ศิริกุล หุตะเสวี หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจการเกษตรและภูมิสังคม จาก GISTDA กล่าวว่า เทคโนโลยีอวกาศและดาวเทียมในปัจจุบันมีหลากหลายประเภท ตั้งแต่ดาวเทียมสื่อสารที่ใช้กระจายสัญญาณโทรคมนาคม จนถึงการพัฒนาติดตั้งกล้องบนดาวเทียม ซึ่งไม่เพียงแค่ถ่ายภาพได้เท่านั้น แต่ยังสามารถวัดค่าต่างๆ เพื่อเก็บข้อมูลสำคัญได้อีกด้วย
หากพูดถึงในมุมของภาคการเกษตร ทาง GISTDA ทำอะไรบ้าง?
ใช้ข้อมูลดาวเทียมในการติดตามพื้นที่เพาะปลูก พืชเศรษฐกิจของประเทศ สทอภ. ใช้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศสนับสนุนการดำเนินงาน ของรัฐบาลด้านการบริหารจัดการพื้นที่เกษตร โดยเฉพาะพืชเศรษฐกิจหลักที่สำคัญ ของประเทศ ได้แก่ ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง และอ้อย โดยติดตามสถานการณ์ การเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ 4 พืช ราย 2 สัปดาห์ จากข้อมูลดาวเทียม Sentinel-2 c]t Landsat 8&9 ในการวิเคราะห์ช่วงเวลาการเพาะปลูกของแต่ละพื้นที่ ทำให้ประมาณการวันเก็บเกี่ยวและปริมาณผลผลิตที่จะออกในแต่ละช่วงเวลาในแต่ละ พื้นที่ได้ในภาพรวม

หน่วยงานทาง GISTDA จัดทำข้อมูลเพื่อรองรับการใช้งานของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและผู้รับผิดชอบในพื้นที่ เป้าหมายหลักคือการติดตามสถานการณ์ เช่น เวลาน้ำท่วม ต้องประเมินว่าพื้นที่ได้รับผลกระทบเท่าไหร่ เพื่อคำนวณค่าเสียหายที่รัฐบาลจะชดเชย งานนี้เริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2015 และครอบคลุมในภาพรวมของทั้งประเทศ
“เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว เราเริ่มเห็นว่าข้อมูลที่เรามีได้รับการพัฒนาให้ทันสมัยมากขึ้น และผู้คนรวมถึงเกษตรกรเองก็มีทักษะในการใช้เทคโนโลยีมากขึ้น เราจึงมีแนวคิดที่จะนำข้อมูลที่รวบรวมไว้อยู่แล้วมาใส่ในแอปพลิเคชัน ซึ่งแม้ว่าในปัจจุบันจะมีแอปเกี่ยวกับการเกษตรอยู่มากมาย แต่ของเราเป็นแอปเดียวที่ใช้ข้อมูลจากดาวเทียมทั้งหมด ใช้ในการติดตามการเจริญเติบโตของพืชทุกๆ 5 วัน โดยสามารถบอกความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ได้ ถ้าพื้นที่เป็นสีเขียวหมายถึงพื้นที่ตรงนั้นดี แต่ถ้าเป็นสีแดงหรือเหลือง แสดงว่าต้องใส่ปุ๋ยหรือต้องรดน้ำ นอกจากนี้ระบบจะคำนวณให้คร่าวๆ ว่าควรใส่ปุ๋ยเมื่อไร เมื่อเกษตรกรระบุวันที่เพาะปลูกลงในระบบ อีกทั้งแอปยังมีข้อมูลเกี่ยวกับสภาพอากาศ หากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย ระบบจะแจ้งเตือนล่วงหน้า 3 วัน เพื่อให้เกษตรกรเตรียมตัวเลื่อนการใส่ปุ๋ยตามความเหมาะสม ถ้าเกษตรกรไม่แน่ใจว่าแปลงของตัวเองจะถูกน้ำท่วมหรือไม่ แต่รู้ว่าพื้นที่รอบๆ ในรัศมี 5 กิโลเมตรเริ่มมีน้ำท่วมแล้ว ก็จะสามารถเตรียมการป้องกันหรือเก็บเกี่ยวผลผลิตก่อนที่ความเสียหายจะเกิดขึ้น ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลและความรู้ทั้งหมดที่หน่วยงานมี ใส่ไว้ในแอปพลิเคชันที่ชื่อว่า ‘Dragonfly’ เป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลทางการเกษตรที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกปัญหา ของเกษตรกรในระดับรายแปลงด้วยเทคโนโลยีอวกาศ และภูมิสารสนเทศที่แม่นยำและทันสมัย” ดร.ศิริกุล หุตะเสวี กล่าว
ช่วยให้เกษตรกรสามารถติดตาม เฝ้าระวัง คาดการณ์และมีข้อมูลที่เป็น พลวัตในการประกอบการ ตัดสินใจที่เท่าทันต่อสถานการณ์และเป็น ประโยชน์ต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับการวางแผน และการบริหารจัดการ แปลงเพาะปลูกของตัวเองได้อย่างครบวงจรต้ังแต่เริ่มปลูกจนถึงขายผลผลิต

ลุงรีย์ พูดถึงชุดความเชื่อการทำเกษตรว่า “อย่าเพิ่งมั่นใจว่าสิ่งที่เรารู้นั้นถูกเสมอ เราเคยเชื่อว่าต้องปลูกพืชให้ต้นใหญ่ถึงจะดี แต่ตอนที่ผมไปหมู่บ้านในญี่ปุ่น เขากลับปลูกพืชต้นเล็กๆ และคำนวณได้อย่างแม่นยำว่าจะให้มันเล็กแค่ไหน และมีโทนสีอะไร เขาเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ ซึ่งทำให้แนวคิดเดิมของเราถูกทำลายทิ้ง เราต้องเข้าใจผลผลิตของเราก่อนที่จะเลือกใช้เทคโนโลยีให้เหมาะสม”
ไม่ว่าเราจะอยากปลูกให้ผลใหญ่ ผลเล็ก ปลูกเยอะ หรือปลูกให้หวาน เทคโนโลยีสามารถช่วยตอบโจทย์ทั้งหมดได้ แต่ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจพื้นฐานก่อนว่ากำลังทำการเกษตรในบริบทไหน และตั้งราคาขายเท่าไร ถ้าตอบคำถามเหล่านี้ได้ เทคโนโลยีก็จะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายได้แน่นอน ทุกอย่างที่พูดมานั้นเกิดจากการเก็บข้อมูลทั้งหมด นี่คือเหตุผลที่เทคโนโลยีมีความสำคัญมาก หากเราต้องการพัฒนาและทำให้ดีขึ้น
ทั้งนี้ งาน Sustainability Expo (SX2024) สามารถเข้าร่วมได้ฟรี ตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน – วันที่ 6 ตุลาคม 2567 เวลา 10.00-20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) โดยสามารถติดตามข่าวสารและกิจกรรมของ SX ได้ทาง Facebook Page : Sustainability Expo, www.sustainabilityexpo.com และ Line OA @sxofficial… อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.technologychaoban.com/advertorial/article_290722