เกษตรกรรุ่นใหม่ ผสานภูมิปัญญาญี่ปุ่น สร้างวิถีเกษตรยุคใหม่ที่ยั่งยืน

จากอดีตพนักงานประจำที่ผันตัวเป็นนักธุรกิจ แต่ต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจจนธุรกิจไม่ประสบความสำเร็จ คุณโอซังจึงกลับมาพัฒนาพื้นที่เกษตรของครอบครัว โดยนำความรู้จากประสบการณ์แลกเปลี่ยนในญี่ปุ่นมาปรับใช้ ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดการบริหารจัดการ นวัตกรรม หรือเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาสวนของตัวเองให้มีประสิทธิภาพและสร้างรายได้อย่างยั่งยืน

คุณโอซัง - นิทัศน์ ศรีอุราม
คุณโอซัง – นิทัศน์ ศรีอุราม (ฝั่งขวา)

คุณโอซัง – นิทัศน์ ศรีอุราม เกษตรกรรุ่นใหม่ เคยใช้ชีวิตเป็นเกษตรกรในญี่ปุ่น และนำความรู้กลับมาพัฒนาที่ดินเกษตรของคุณพ่อ โดยใช้เทคโนโลยีช่วยควบคุมการผลิตและจัดการระบบน้ำ ปัจจุบันพื้นที่นี้ได้กลายเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านการเกษตรที่จังหวัดฉะเชิงเทรา

หลายคนอาจสงสัยว่าโครงการแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่นคืออะไร และมาจากหน่วยงานใด คุณโอซังอธิบายว่า โครงการนี้คือ “โครงการฝึกงานผู้นำเยาวชนเกษตรไทยในประเทศญี่ปุ่น (JAEC)” ซึ่งเปิดโอกาสให้เกษตรกรรุ่นใหม่หรือ Young Smart Farmer ที่สนใจด้านการเกษตร ได้ไปเรียนรู้จากเกษตรกรญี่ปุ่นโดยตรง โครงการนี้รับผู้เข้าร่วมเพียง 15 คนต่อปี และต้องมีคุณสมบัติตามที่กรมส่งเสริมการเกษตรกำหนด

ขอบคุณภาพจาก : NECTEC
ขอบคุณภาพจาก : NECTEC

คุณโอซังเลือกขอไปเรียนรู้ในพื้นที่โตเกียว โดยเฉพาะฟาร์มที่เน้นการปลูกผักแบบ “ทำน้อยได้มาก” เนื่องจากบ้านของเราอยู่ในจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งมีพื้นที่ไม่กว้างขวางมาก จึงอยากศึกษาวิธีการปลูกผักของชาวญี่ปุ่นที่เหมาะกับพื้นที่จำกัด

กลับมาที่แนวคิด “ทำน้อยได้มาก” ซึ่งหมายถึงการใช้พื้นที่จำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตัวอย่างเช่น ในโตเกียวมีพื้นที่การเกษตรเพียง 2 เอเคอร์ หรือประมาณ 10 ไร่เท่านั้น หากมองเผินๆ เราอาจไม่เข้าใจว่าควรบริหารจัดการอย่างไร เพราะส่วนใหญ่พื้นที่เหล่านี้ใช้ปลูกผัก ไม่ได้เน้นไม้ยืนต้น แต่เมื่อได้สัมผัสการทำงานในฟาร์มผักจริงๆ ก็พบว่าการอยู่ในพื้นที่เล็กๆ ต้องเพิ่มความหลากหลายของพืชที่ปลูก เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนทรัพยากรที่ดีขึ้น เช่น ที่ฟาร์มแห่งหนึ่งที่ผมไป เขาสามารถปลูกผักได้ถึง 48 ชนิดใน 1 ปี โดยสลับชนิดของผักไปเรื่อยๆ ตลอดทั้งปี

ขอบคุณภาพจาก : NECTEC
ขอบคุณภาพจาก : NECTEC

สิ่งที่ได้จากการไปเรียนรู้ที่ญี่ปุ่น

คุณโอซังเล่าว่า “ที่ญี่ปุ่นไม่ได้สอนการทำเกษตรแบบเป็นขั้นตอนชัดเจนว่า 1 2 3 ต้องทำแบบนี้ แต่สิ่งที่เขาทำเป็นเหมือนกิจวัตรประจำวัน ทุกอย่างดำเนินไปอย่างมีระบบและการวางแผนอย่างต่อเนื่อง ทั้งรายวันและรายสัปดาห์ พวกเขาให้ความสำคัญกับการเตรียมการล่วงหน้าอยู่เสมอ ทำให้เห็นว่าหัวใจของการทำเกษตรในแบบญี่ปุ่นคือ Mindset ที่มั่นคงและความมุ่งมั่นของเกษตรกรที่จริงจังกับงานของตัวเอง”

เมื่อเรากลับมาแล้ว ทำให้เราเห็นภาพรวมที่กว้างขึ้น และตระหนักว่าประเทศเรายังขาดการบริหารจัดการในภาพใหญ่แบบที่ญี่ปุ่นทำได้ ที่ญี่ปุ่นมีสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศญี่ปุ่น (JA) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ช่วยเหลือเกษตรกรอย่างครบวงจร มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลพืชแต่ละชนิด ทั้งเรื่องอาหารพืช การบำรุงรักษา และยังให้คำปรึกษาต่อเนื่องจนถึงการทำตลาดสำหรับผลผลิตของเกษตรกร

Advertisement

ในบ้านเรา ปัญหาของเกษตรกรมักไม่ได้อยู่ที่การปลูกพืช แต่เป็นเรื่องราคาสินค้าที่ตกต่ำหรือขายไม่ได้ เช่น สินค้าบางอย่างในปีนั้นอาจไม่มีคนซื้อเลย ขณะที่ญี่ปุ่นแก้ปัญหานี้ด้วยระบบสหกรณ์การเกษตร ซึ่งมีอยู่ประมาณ 648 แห่งทั่วประเทศ สหกรณ์เหล่านี้ช่วยเกษตรกรจัดการเรื่องความต้องการและซัพพลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ทุกอย่างเป็นระบบ เกษตรกรไม่ต้องทำการตลาดเอง ขายเอง

เมื่อมองกลับมาที่บ้านเรา จะเห็นว่าเกษตรกรยุคใหม่ต้องทำทุกอย่างเอง ตั้งแต่ปลูกพืช สร้างแบรนด์ ไปจนถึงทำการตลาดทุกขั้นตอน ซึ่งอาจเป็นภาระที่หนักเกินไป ถ้าเราสามารถปรับระบบการเกษตรของไทยให้มีโครงสร้างเหมือนญี่ปุ่น ที่จัดการทุกอย่างเป็นระบบและสนับสนุนเกษตรกรได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเกษตรไทยก็น่าจะพัฒนาดีขึ้นอย่างยั่งยืน

Advertisement
ขอบคุณภาพจาก : NECTEC
ขอบคุณภาพจาก : NECTEC

การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาใช้ในการทำเกษตร

ปัจจุบันหลายฟาร์มเริ่มนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการทำเกษตร แต่สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาถึงความจำเป็น ไม่ใช่ใช้ทุกอย่างจนเกินตัว ตัวอย่างเช่น ที่ญี่ปุ่นก็ไม่ได้พึ่งพาเทคโนโลยีขั้นสูงมากนัก ฟาร์มที่เหมาะกับการใช้เทคโนโลยีเต็มรูปแบบ (Full Farm Auto) ควรเป็นฟาร์มที่มีขนาดใหญ่และต้องการระบบอัตโนมัติจริงๆ เพราะการเกษตรแตกต่างจากอุตสาหกรรมตรงที่ต้องอาศัยการสังเกตและดูแลอย่างใกล้ชิด ผมได้เรียนรู้ว่าการใช้เทคโนโลยีไม่ได้แม่นยำ 100% เสมอ สิ่งสำคัญคือเราต้องทำงานร่วมกับเทคโนโลยี ไม่ใช่ปล่อยให้เทคโนโลยีทำงานแทนเราทั้งหมด

การทำการเกษตรในญี่ปุ่นกับในไทยต่างกันยังไง 

คุณโอซังเล่าให้ฟังว่า “การผลิตไม่ได้ต่างกันมาก แต่ที่แตกต่างจริงๆ คือการวางแผนและการบริหารจัดการ ยกตัวอย่างในไทยช่วงมีนาคม-เมษายน ทุเรียนจะออกผลผลิต ซึ่งเกษตรกรต้องวางแผนทั้งการปลูกและการขาย ถ้าเป็นคนไทย เราต้องจัดการเองทุกขั้นตอน แต่ที่ญี่ปุ่นจะมีสหกรณ์เกษตรที่ช่วยบริหารจัดการผลผลิตต่อไป และส่วนใหญ่คนไทยมักจะไม่ค่อยจดบันทึกรายละเอียดแบบที่คนญี่ปุ่นทำ”

ทำไมเกษตรกรญี่ปุ่นถึงรวย แต่เกษตรกรไทยยังคงลำบาก? อะไรคือปัจจัยที่ทำให้ความแตกต่างนี้เกิดขึ้น?

คุณโอซังเล่าประสบการณ์ให้ฟังว่า “เกษตรกรญี่ปุ่นนี่รวยจริงๆ นะ เป็นอาชีพที่คนในประเทศเขายกย่องกันเลย คนญี่ปุ่นจะบอกขอบคุณที่คุณเป็นเกษตรกร ขอบคุณที่ปลูกผักดีๆ ให้เรากิน ตอนเราเคยนั่งปลูกผัก หยอดเมล็ดกันอยู่ข้างสวนสาธารณะในแปลงบ้านเรา คุณย่าคุณยายแถวๆ นั้นที่เป็นลูกค้าประจำก็เดินมาบอกเลยว่า ขอบคุณมากนะ ที่ทำผักอร่อยๆ ให้กินตลอด ฟังแล้วอบอุ่นใจมาก

แต่พอมามองประเทศไทยกลับรู้สึกเศร้าใจ คนไทยทำไมยังจนอยู่แบบนั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะธรรมชาติของระบบเรานี่แหละ เกษตรกรปลูกสินค้าแล้วไม่ได้ขายเอง ไม่ได้รู้จักลูกค้าตัวเอง ส่งให้พ่อค้าคนกลางหมด กลายเป็นพ่อค้าคนกลางที่รวยแทน เกษตรกรไม่รู้เลยว่าสินค้าดีๆ ที่ตัวเองปลูกไปถึงมือใคร ทำให้เขาไม่ได้รับความยกย่องหรือกำไรเต็มเม็ดเต็มหน่วยแบบที่ควรจะเป็น”

จุดเปลี่ยนเกษตรกรไทย ควรเริ่มปรับตรงไหนให้รวยและยั่งยืน?

“หากต้องการช่วยให้เกษตรกรไทยอยู่รอดในภาพรวม ผมคิดว่าภาครัฐต้องเข้ามามีบทบาทมากกว่านี้ ถ้าจะสนับสนุนก็ต้องสนับสนุนให้เต็มที่ ไม่ใช่ช่วยแค่ครึ่งๆ กลางๆ แล้วปล่อยให้เกษตรกรต้องดิ้นรนเอาเอง ผมมองว่าต้องแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างใหญ่ เช่น ลดการนำเข้าสินค้าจากจีน เพื่อเปิดโอกาสให้สินค้าของไทยสามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างยั่งยืน” คุณโอซัง กล่าว

ในแต่ละปี ประเทศไทยนำเข้าผักจากจีนเป็นจำนวนมาก หากไม่นับผลไม้บางชนิดที่เรายังไม่มีในประเทศและจำเป็นต้องนำเข้า เราควรพิจารณาลดการนำเข้าผักที่เราผลิตได้เอง เพื่อให้สินค้าเกษตรของคนไทยมีพื้นที่ในตลาดกลางมากขึ้น ปัจจุบันส่วนแบ่งทางการตลาดกลับไปตกอยู่กับต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งประเทศไทยควรมีมาตรการที่ชัดเจนในการควบคุมนำเข้าสินค้า เพื่อป้องกันไม่ให้ราคาสินค้าในประเทศตกต่ำจนเกินไป ภาครัฐจึงจำเป็นต้องเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ทั้งในด้านการส่งเสริม สร้างมาตรการ และออกกฎหมายที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน

หากท่านไหนสนใจศึกษาเรียนรู้ดูงานเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติ่มได้ที่เพจ FAcebook : ศูนย์เรียนรู้ ทัศนพัฒน์ หรือเบอร์โทรติดต่อ 065-419-9978