ใบมันสำปะหลัง แหล่งโปรตีนต้นทุนต่ำ สำหรับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์

ใบมันสำปะหลัง อาหารสัตว์เพื่อสุขภาพสัตว์และอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ 

ผศ.ดร. เกรียงไกร แก้วตระกูลพงษ์ และคณะภาควิชาเกษตรกลวิธาน คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ดำเนินโครงการศึกษาระบบข้อมูลความต้องการของตลาดสินค้ามันสำปะหลัง ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์  เพื่อยกระดับการผลิตของเกษตรกรSmart Farmer ในยุค Thailand 4.0 สามารถวางแผนการผลิตในแต่ละฤดูกาล เกิดผลลัพธ์ที่คุ้มค่า ตรงตามความต้องการของตลาด และทำให้เกษตรกรมีรายได้มากขึ้นอย่างยั่งยืนและพอเพียง

ผศ.ดร.เกรียงไกร แก้วตระกูลพงษ์

จากผลการศึกษาพบว่า อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ต้องการใช้ใบมันสำปะหลังมาผลิตเป็นอาหารสัตว์เพื่อเสริมสุขภาพสัตว์ (Cassava Leaf as Functional Feed) และใช้เป็นวัตถุดิบโปรตีนสำหรับผสมในอาหารสัตว์ เนื่องจากใบมันสำปะหลังสามารถใช้เป็นได้ทั้งแหล่งอาหารหยาบและแหล่งอาหารโปรตีน จึงเป็นทางเลือกเพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง โดยใช้ใบมันสำปะหลังแปรรูปเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์

ใบมันสำปะหลังแห้งเป็นวัตถุดิบเกษตรที่มีคุณค่าทางโภชนาการ  โดยมีปริมาณโปรตีนสูงถึง 20-25%  สามารถใช้ทดแทนวัตถุดิบโปรตีนที่จะนำมาผลิตเป็นอาหารสัตว์ได้ เช่น โปรตีนจากปลาป่นที่กำลังประสบปัญหาน่านน้ำการจับปลา โปรตีนจากกากถั่วเหลืองที่ปัจจุบันต้องนำเข้าและมีปัญหาจากการดัดแปลงพันธุกรรม (GMO)  ที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของสัตว์

ใบมันสำปะหลัง สามารถใช้ทดแทนกากถั่วเหลืองได้ แม้ใช้เพียงเล็กน้อยประมาณ 10%  ประเทศไทยก็จะสามารถลดการนำเข้าโปรตีน(จากกากถั่วเหลือง) ได้ถึง 4,035 ล้านบาท  นอกจากคุณค่าทางโปรตีนที่สูงแล้ว ยังมีสารแซนโทฟิลล์ที่ช่วยการเจริญเติบโตของสัตว์  และสารแทนนินที่ช่วยป้องกันพยาธิในสัตว์ได้เช่นกัน  นอกจากนั้นยังสามารถนำมาเป็นอาหารมนุษย์ได้ด้วย โดยใบมันสำปะหลังแห้งน้ำหนัก 400 กรัมจะเทียบเท่ากับปริมาณโปรตีน 45 ถึง 50 กรัมที่ร่างกายมนุษย์ต้องการ

การใช้ใบมันสำปะหลังเป็นอาหารสัตว์

หลังจากเก็บใบมันสำปะหลังสดมาแล้วให้นำไปตาก/ผึ่งแดดให้แห้ง โดยอาจสับเป็นชิ้น ซึ่งจะทำให้ตากแห้งได้เร็วขึ้น ระหว่างการตาก ควรกลับใบมันสำปะหลังไปมาเป็นระยะ ๆ เพื่อให้ส่วนใบและก้านแห้งได้ทั่วถึง โดยตาก/ผึ่งแดด นาน 2–3 แดด ตามปกติใบมันสำปะหลังจะมีสารพิษสำคัญ 2 ชนิด คือกรดไฮโดรไซยานิคและสารแทนนิน แต่เมื่อได้รับการตากแห้งแล้วจะมีกรดไฮโดรไซยานิคเหลืออยู่ในระดับที่ต่ำมากคือไม่เกิน 30 ส่วนในล้านส่วน (ppm) เช่นเดียวกับในมันเส้นที่สารพิษจะระเหยออกไประหว่างผึ่งแดด จนเหลือในระดับที่ไม่เป็นอันตรายสำหรับสัตว์ และกรดไฮโดรไซยานิคในระดับต่ำดังกล่าวนี้กลับช่วยกระตุ้นให้สัตว์มีความต้านทานโรคเพิ่มขึ้นด้วย

ส่วนสารแทนนินนั้นเป็นประโยชน์ต่อระบบการย่อยอาหารของสัตว์เคี้ยวเอื้อง โดยปริมาณแทนนินที่มีอยู่ในระดับต่ำ 14.79 มิลลิกรัม/กิโลกรัม จะสามารถควบคุมพยาธิในตัวสัตว์ได้ มีคุณสมบัติในด้านการมีฤทธิ์ควบคุมพยาธิในแพะแกะได้อย่างดี ซึ่งสามารถทดแทนการใช้ยาถ่ายพยาธิในแพะแกะได้อีกด้วย ซึ่งนับว่าการใช้ใบมันสำปะหลังเป็นอาหารสัตว์สามารถลดการใช้สารเคมีในการปศุสัตว์ได้ ซึ่งจะสามารถนำไปสู่การผลิตเป็นเนื้อสัตว์แบบอินทรีย์ หรือนมจากสัตว์แบบอินทรีย์ได้

การเก็บเกี่ยวใบมันสำปะหลังเพื่อนำมาผลิตเป็นอาหารสัตว์

เมื่อต้นมันสำปะหลังมีอายุได้ 4 เดือนขึ้นไปจะสามารถเก็บใบมันสำปะหลังได้ เกษตรกรสามารถเก็บเกี่ยวใบมันสำปะหลังและนำมาขายให้กับพ่อค้าคนกลางในราคาประมาณ 0.8 ถึง 2 บาทต่อกิโลกรัม สำหรับใบมันสำปะหลังสด (หากเกษตรกรทำการตากใบมันสำปะหลังแห้ง และนำใบมันสำปะหลังแห้งมาขาย จะขายได้ในราคา 4 ถึง 6 บาทต่อกิโลกรัม) โดยราคารับซื้อจะขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ หลังจากนั้นพ่อค้าคนกลางจะรวบรวมใบมันสำปะหลังสดที่เกษตรกรมาขาย ส่งต่อให้กับโรงงานที่แปรรูปเป็นใบมันสำปะหลังบดอัดเม็ด

ทางโรงงานอาหารสัตว์จะนำใบมันสำปะหลังสดที่รับซื้อมาตากแดดบนลานตากประมาณ 2-3 แดด เพื่อให้ได้ใบมันสำปะหลังแห้ง หลังจากนั้นทำการบดย่อยโดยการตีป่นและขึ้นรูปเป็นใบมันสำปะหลังอัดเม็ด ซึ่งโรงงานฯก็จะขายผลิตภัณฑ์ใบมันสำปะหลังอัดเม็ดให้กับฟาร์มปศุสัตว์ต่างๆ เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ ซึ่งมีทั้งที่ใช้เป็นอาหารสัตว์ในประเทศสำหรับฟาร์มหมู สหกรณ์โคเนื้อ สหกรณ์โคนม เป็นต้น และมีการส่งออกใบมันสำปะหลังบดอัดเม็ดไปขายที่ต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยก็มีผู้ประกอบการผลิตและส่งออกใบมันสำปะหลังบดอัดเม็ดไปขายให้กับประเทศเกาหลีใต้ ประเทศนิวซีแลนด์ และประเทศออสเตรเลีย เป็นต้น

ใบมันสำปะหลัง ถือว่ามีคุณประโยชน์และมีคุณค่าทางโภชนาการ สามารถใช้เป็นอาหารสัตว์เพื่อเสริมสุขภาพสัตว์ได้ สามารถนำไปใช้ในงานปศุสัตว์และนำไปสู่การผลิตผลิตภัณฑ์จากปศุสัตว์ที่เป็นสินค้าอินทรีย์ (Organic) หรือเป็นสินค้าผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ (Natural Product) ได้

ปัจจุบันประเทศไทยนำใบมันสำปะหลังมาใช้ประโยชน์ในปริมาณที่น้อยอยู่ คือประมาณไม่เกิน 1% ของพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังของประเทศไทย ชาวไร่มันสำปะหลังส่วนใหญ่มักจะทิ้งใบมันสำปะหลังไว้เพื่อรอให้ย่อยสลายและเป็นปุ๋ยในไร่ หรือนำไปเผาเพื่อป้องกันไม่ให้ต้นอ่อนที่ไม่ต้องการขึ้นในพื้นที่เพาะปลูก หากมีการเก็บเกี่ยวใบมันสำปะหลังเพียง 10% จากปริมาณมันสำปะหลังที่ปลูกในประเทศไทย และนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใบมันสำปะหลังบดอัดเม็ดเพื่อใช้ในประเทศและส่งออก ก็จะสามารถเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรได้เป็นจำนวนเงินประมาณ 420 ล้านบาทต่อปี ขณะเดียวกัน สามารถใช้ใบมันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบโปรตีนทดแทนการนำเข้าโปรตีนจากกากถั่วเหลืองได้อีกทางหนึ่ง