ปลูกเผือกหอมแปลงใหญ่ พืชเศรษฐกิจ สร้างรายได้ ปลูกง่าย โตดี

เผือกหอม เป็นพืชอาหารที่มีแคลเซียมสูง ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน มีวิตามินหรืออื่นๆ ที่เสริมสร้างให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง มีอาหารรสอร่อยจากเผือกหอม เช่น ข้าวต้มเผือกกระดูกหมูอ่อนทรงเครื่อง หรือเผือกกวน เป็นพืชเศรษฐกิจส่งออกที่นำรายได้เข้าประเทศปีละหลายล้านบาท และส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพื่อการยังชีพที่มั่นคง

คุณสุพจน์ ประสมทอง เกษตรอำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี เล่าให้ฟังว่า เผือกหอมเป็นพืชอาหารคู่ครัวไทยที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง ทำได้ทั้งอาหารคาวและหวาน เช่น ข้าวต้มเผือกทรงเครื่อง หรือขนมบัวลอยเผือกมะพร้าวอ่อน ในเชิงการค้าเผือกหอมเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญที่เกษตรกรจะปลูกและขายเพื่อก่อให้มีรายได้เงินแสนบาทในแต่ละปี

คุณสุพจน์ ประสมทอง เกษตรอำเภอบ้านหมอ ส่งเสริมโครงการปลูกเผือกหอมแปลงใหญ่

เผือกหอม เป็นพืชล้มลุก อายุยืน ลำต้นตรง มีหัวใต้ดินสะสมอาหาร ก้านดอกอวบใหญ่สั้นกว่าก้านใบ ดอกตัวเมียและตัวผู้มีขนาดเล็กอยู่แยกกันบนแกนช่อ ดอกตัวเมียสีเขียวอยู่โคน ส่วนดอกตัวผู้สีขาวอยู่ปลาย

เผือก แบ่งได้ 4 พันธุ์ คือ

เผือกหอม เป็นเผือกชนิดหัวใหญ่ กาบใบใหญ่ สีเขียว มีหัวขนาดเล็กติดอยู่กับหัวใหญ่เล็กน้อย เมื่อต้มจะมีกลิ่นหอม

เผือกเหลือง หัวเป็นสีเหลือง หัวมีขนาดย่อมลงมา

เผือกไม้ หรือ เผือกไหหลำ หัวมีขนาดเล็ก และ

เผือกตาแดง กาบใบและเส้นใบสีแดง ตาของหัวเผือกสีแดงเข้ม มีหัวขนาดเล็กติดอยู่รอบหัวใหญ่จำนวนมาก

สำนักงานเกษตรอำเภอบ้านหมอ ได้ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกและพัฒนาการผลิตเผือกหอมคุณภาพ ด้วยการรวมตัวกันขอจัดตั้งเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนและเข้าร่วมใน โครงการปลูกเผือกหอมแปลงใหญ่ ภายใต้นโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อการเพิ่มโอกาสให้เกษตรกรได้มีส่วนร่วมคิด ร่วมทำ หรือร่วมกันซื้อปัจจัยการผลิตราคาถูก เพื่อลดต้นทุนการผลิต เป็นศูนย์รวมเพื่อรองรับข้อมูลวิชาการ หรือมีอำนาจในการต่อรองด้านการตลาด

ในปี 2560 มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการปลูกเผือกหอมแปลงใหญ่ 194 ราย พื้นที่ปลูก 1,934 ไร่ ใน 3 ตำบล คือ ตำบลหรเทพ ตลาดน้อย และตำบลโคกใหญ่ ซึ่งพื้นที่ปลูกเผือกหอมแปลงใหญ่นี้จะเป็นศูนย์รวมเพื่อรองรับข้อมูลด้านวิชาการให้เกษตรกรนำไปสู่พัฒนาการผลิตได้เผือกคุณภาพและทำให้มีรายได้นำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

คุณประเสริฐ แย้มโอษฐ์ เกษตรกรปลูกเผือกหอม

คุณประเสริฐ แย้มโอษฐ์ เกษตรกรปลูกเผือกหอม เล่าให้ฟังว่า หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวในแปลงนาเสร็จแล้ว ได้เตรียมดินปลูกเผือกหอมเป็นพืชหมุนเวียน ในดินร่วนปนทรายเผือกจะเจริญเติบโตได้ดีและให้หัวเผือกที่มีคุณภาพ

การเตรียมดิน ได้นำรถไถลงไปย่ำดินในแปลงให้ดินแตกเละ จากนั้นยกแปลงปลูก กว้าง 70 เซนติเมตร และความยาวแปลงจัดตามแนวของพื้นที่ ขุดร่องน้ำระหว่างแปลงปลูก กว้าง 60 เซนติเมตร เพื่อเก็บน้ำใช้หรือระบายน้ำออก

เผือกหอมที่จัดเตรียมขายให้กับผู้มารับซื้อ

พันธุ์เผือกหอม ได้รวมกลุ่มกับเพื่อนเกษตรกรไปซื้อพันธุ์เผือกจากแหล่งที่เชื่อถือได้และปลอดภัยจากโรค เช่น จังหวัดเชียงใหม่ หรือพระนครศรีอยุธยา ซื้อตามปริมาณความต้องการใช้เป็นพันธุ์ปลูก เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตขายและเก็บส่วนหนึ่งไว้เป็นพันธุ์ปลูกด้วย แต่จะใช้ปลูกไม่เกิน 2 ครั้ง เพราะพันธุ์จะไม่มีคุณภาพ ต้องไปซื้อพันธุ์มาใหม่

หน่อพันธุ์เผือกหอม ได้จากลูกข้างที่ติดมากับหัวแม่เผือกคุณภาพ นำมาแยกเอาลูกข้างออกจากหัวแม่เผือก ซึ่งที่ลูกข้างจะมีใบอยู่ด้วย 2-3 ใบ และต้องคัดเอาเฉพาะลูกข้างที่มีคุณภาพปลอดภัยมาใช้เป็นพันธุ์ปลูก

ยกร่องแปลงปลูกกว้าง 70 เซนติเมตร ขุดร่องน้ำกว้าง 60 เซนติเมตร

การปลูก เมื่อได้เตรียมดินแปลงปลูกหรือหน่อพันธุ์แล้ว ก็เริ่มปลูกในช่วงบ่าย/เย็น ขุดหลุมปลูกกว้างยาวและลึก ด้านละ 1 หน้าจอบ หรือกว่า 30 เซนติเมตร นำปุ๋ยคอกแห้ง 2-3 กำมือ คลุกเคล้ากับดินบนใส่รองก้นหลุมปลูก วางหน่อพันธุ์เผือกลงปลูกให้ต้นตั้งตรง เกลี่ยดินกลบ ระยะปลูกระหว่างต้นห่างกัน 60 เซนติเมตร พื้นที่ 1 ไร่ จะปลูกเผือกหอมได้ 8,000-10,000 หัว/หน่อ

การใส่ปุ๋ย ได้แบ่งใส่ดังนี้ ครั้งที่ 1 นำปุ๋ยคอกแห้งหว่านรองพื้นให้ทั่วแปลง แล้วนำปุ๋ย สูตร 15-15-15 หว่านให้ทั่วแปลง 50-100 กิโลกรัม ต่อไร่ ครั้งที่ 2 เมื่อต้นเผือกหอมอายุ 2 เดือน นำปุ๋ย สูตร 18-6-6 หรือ 15-15-15 ใส่รอบโคนต้น 50 กิโลกรัม ต่อไร่ และครั้งที่ 3 เมื่อต้นเผือกหอมอายุ 4 เดือน นำปุ๋ย สูตร 13-13-21 ใส่หว่านรอบโคนต้น 50-100 กิโลกรัม ต่อไร่ และทุกเดือนได้ฉีดพ่นฮอร์โมนทางใบเพื่อช่วยให้ได้หัวเผือกขนาดใหญ่และเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้น

การให้น้ำ ต้องดูแลให้ต้นเผือกหอมได้รับน้ำอย่างพอเพียงสม่ำเสมอตลอดฤดูปลูก จึงจะเจริญเติบโตสมบูรณ์ได้หัวเผือกหอมมีขนาดใหญ่ ได้น้ำหนักและคุณภาพดี

การเก็บเกี่ยว นับตั้งแต่วันปลูกถึงวันเก็บเกี่ยว 6-7 เดือน จะเป็นระยะที่หัวเผือกเจริญเติบโตสมบูรณ์ ก็เริ่มเก็บเกี่ยวหรือขุดหัวเผือก โดยนำชะแลงที่มีลักษณะคล้ายกับไม้กางเขนหรือเสียม แทงลงไปที่ใต้หัวเผือกแล้วงัดขึ้นมา ลอกดึงเอากาบแห้งออกให้หมด ตัดแยกลูกหัวเผือกเก็บไว้ทำพันธุ์หรือขาย นำหัวแม่เผือกเข้าโรงเรือนทำความสะอาดและคัดขนาดเตรียมนำส่งขายให้กับผู้ซื้อ พื้นที่ 1 ไร่ ได้เผือกหอม 1,400-2,000 กิโลกรัม

ตลาด ได้มีการจัดพื้นที่เป็นศูนย์รวมผลผลิต แล้วนำเผือกหอมที่คัดขนาดไว้แล้วออกขาย ดังนี้ หัวเผือกขนาดจัมโบ้ น้ำหนัก 1 กิโลกรัม ขาย 18 บาท ต่อกิโลกรัม หัวเผือกขนาดใหญ่ธรรมดา น้ำหนัก 8-10 ขีด ขาย 10 บาท ต่อกิโลกรัม หัวเผือกขนาดกลาง น้ำหนัก 5-8 ขีด ขาย 9 บาท ต่อกิโลกรัม หัวป้อใหญ่ น้ำหนัก 4-5 ขีด ขาย 5-6 บาท ต่อกิโลกรัม หัวป้อเล็ก น้ำหนักน้อยกว่า 4 ขีด ขาย 4 บาท ต่อกิโลกรัม หัวเผือกปาดคละขนาด ขาย 4 บาท ต่อกิโลกรัม

คุณปิยะชาติ แจ้งหิรัญ เกษตรกรปลูกเผือกหอม ที่เข้าร่วมโครงการฯ

คุณปิยะชาติ แจ้งหิรัญ เกษตรกรปลูกเผือกหอม เล่าให้ฟังว่า หลังเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จได้เตรียมดินปลูกเผือกหอม ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีตลาดรองรับ ปลูกง่าย เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทราย ทำให้ได้หัวเผือกมีคุณภาพ

การเตรียมดิน ไถและยกร่องแปลงปลูก กว้าง 60 เซนติเมตร ขุดร่องน้ำระหว่างแปลงปลูก กว้าง 50 เซนติเมตร ร่วมกับเพื่อนเกษตรกรไปซื้อหน่อพันธุ์ ขุดหลุมปลูกกว้างยาวและลึก ด้านละ 30 เซนติเมตร นำปุ๋ยคอกแห้ง 2-3 กำมือ ผสมกับดินบนใส่รองก้นหลุม วางหน่อพันธุ์ลงปลูกให้ตั้งตรง เกลี่ยดินกลบ การปฏิบัติดูแลบำรุงรักษาตลอดฤดูปลูกได้จัดการใส่ปุ๋ยและฉีดพ่นฮอร์โมนรวม 4 ครั้ง ถ้าพบโรคแมลงศัตรูพืชระบาดเพียงเล็กน้อยก็จับเก็บนำไปทำลายทิ้ง

เมื่อต้นเผือก อายุ 6-8 เดือน นับจากวันปลูกก็เจริญเติบโตสมบูรณ์ ได้นำชะแลงหรือเสียมไปแทงลงใต้หัวเผือกงัดขึ้นมา ลอกเปลือกแห้งออก ตัดลำต้นออก ทำความสะอาด ก็จะได้หัวเผือกหอมคุณภาพ ขนาดใหญ่และน้ำหนักดี นำไปรวบรวมในโรงเรือนหรือศูนย์รวมผลผลิตของกลุ่มเพื่อเตรียมขายให้กับพ่อค้าที่มารับซื้อ

เผือกหอมทอดกรอบสู่ผู้บริโภคอาหารว่างของทุกคน

นี่ก็คือ ทางเลือกของเกษตรกรที่เข้าร่วมใน โครงการปลูกเผือกหอมแปลงใหญ่ ทำให้สมาชิกสามารถยกระดับรายได้มากกว่าแสนบาทต่อปีที่พอเพียงเพื่อการยังชีพได้อย่างมั่นคง

สอบถามเพิ่มได้ที่ คุณประเสริฐ แย้มโอษฐ์ เลขที่ 29 หมู่ที่ 5 ตำบลหรเทพ อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี โทร. (087) 164-4737 หรือที่ คุณปิยะชาติ แจ้งหิรัญ โทร. (081) 364-1814 หรือสำนักงานเกษตรอำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี โทร. (087) 753-6840 หรือ (081) 852-5001 ก็ได้ครับ