แนะทำลำไยนอกฤดู ไม่ต้องง้ออากาศหนาว สูตรเด็ดใบอ่อน แก้ปัญหาใบแซมดอก พร้อมเทคนิคทำลำไยเบอร์ใหญ่

คุณพิสุทธิ์ ต๊ะปิง ยังเป็นที่ปรึกษาการผลิตลำไยนอกฤดูให้กับเพื่อนเกษตรกรอีกหลายสวน
คุณพิสุทธิ์ ต๊ะปิง ยังเป็นที่ปรึกษาการผลิตลำไยนอกฤดูให้กับเพื่อนเกษตรกรอีกหลายสวน

9-%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%81%e0%b8%95%e0%b9%88%e0%b8%87%e0%b8%8a%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b9%89%e0%b8%a5%e0%b8%b3%e0%b9%84%e0%b8%a2%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b8%9c%e0%b8%a5

คุณพิสุทธิ์ ต๊ะปิง บ้านเลขที่ 42/2 หมู่ที่ 9 บ้านรักไทย ตำบลชมพู อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก โทรศัพท์ 081-037-2734 อธิบายว่า หลังจากแตกใบอ่อนได้ราวๆ 10 วัน คือเมื่อใบลำไยเริ่มคลี่แผ่ออก ก็จะต้องเริ่มฉีดสะสมอาหารด้วยปุ๋ยและฮอร์โมนทางใบ ปุ๋ยที่ใช้ก็จะใช้ปุ๋ยเกล็ด สูตร 0-52-34 อัตรา 5 กิโลกรัม ผสมกับน้ำตาลทางด่วน 1 ลิตร ผสมกับแมกนีเซียมเดี่ยว (Mg) อัตรา 1 ลิตรต่อน้ำ 1,000 ลิตร (บวกสารป้องกันกำจัดโรคและแมลงตามสถานการณ์ไปได้พร้อมกันเลย) การฉีดสะสมอาหารจะฉีดพ่นด้วยสูตรนี้ทั้ง 3 ครั้ง ห่างกันทุกๆ 10 วัน    

การสะสมอาหารให้ลำไย

เมื่ออายุใบลำไยได้ 45 วัน ใบลำไยจะอยู่ในระยะเพสลาด เราจะต้องราดสาร “โพแทสเซียมคลอเรต” การราดสารจะใช้สารโพแทสเซียมคลอเรต จำนวน 50 กิโลกรัมต่อน้ำ 1,000 ลิตร ซึ่งจะไม่ได้ใช้วิธีคำนวณว่าลำไยต้นนี้ทรงพุ่มกี่เมตร จะต้องใช้สารกี่กรัม เนื่องจากจำนวนต้นลำไยมีมาก จะทำให้การทำงานช้า ยุ่งยาก และอาจเกิดความผิดพลาดได้หากแรงงานไม่มีประสบการณ์ จึงใช้สารอัตราเดียว แต่การราดสารจะใช้วิธีการฉีดลงดินด้วยเครื่องฉีดพ่นยา

หลังราดสาร 21-30 วัน ต้นลำไยจะออกดอก เป็นช่วงเหมาะแก่การดึงดอก
หลังราดสาร 21-30 วัน ต้นลำไยจะออกดอก เป็นช่วงเหมาะแก่การดึงดอก

วิธีการ จะฉีดพ่นในบริเวณรอบทรงพุ่มลำไย (ชายทรงพุ่ม) เดินฉีดเป็นวงกลม ให้วงกลมมีหน้ากว้างสัก 1 เมตร เพราะบริเวณชายพุ่มจะเป็นบริเวณที่มีรากฝอยเป็นจำนวนมาก ทำให้ตอบสนองสารโพแทสเซียมคลอเรตได้เป็นอย่างดี ส่วนปริมาณสารที่ต้นลำไยแต่ละต้นจะได้รับนั้น ขนาดของรัศมีทรงพุ่มจะเป็นตัวกำหนดเองโดยอัตโนมัติ วิธีการราดสารแบบน้ำจึงทำให้เกษตรกรทำงานได้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น แต่ข้อดีของการราดสารแบบนี้ คือจะทำให้ต้นลำไยไม่โทรม เนื่องจากสารโพแทสเซียมคลอเรตทำลายรากลำไย

ยกตัวอย่าง การทำลำไยแบบทางภาคเหนือที่จะทำ กวาดเศษใบไม้ในทรงพุ่มให้สะอาด แล้วราดสารโพแทสเซียมคลอเรตภายในทรงพุ่ม คือหลักการง่ายๆ ที่ทำให้เห็นภาพคือ สารโพแทสเซียมคลอเรตมันจะไปทำลายรากลำไย พอรากโดนทำลาย ต้นลำไยรู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะตายก็ต้องออกดอก แต่ปัญหายังมีอีก พอเราแก้ปัญหามีวิธีทำให้ต้นลำไยออกดอกมาได้ พอช่อลำไยติดผลอ่อนมาได้ แต่พอเราจะให้ปุ๋ยกับต้นลำไยเพื่อให้ผลเกิดการพัฒนาต่อ พอเราให้ปุ๋ยปรากฏว่าต้นลำไยไม่กินปุ๋ย เพราะระบบรากถูกทำลาย วิธีที่เราใช้ในปัจจุบันลดการถูกทำลายของรากลำไยได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม หลักการสำคัญที่สุดของการทำลำไยนอกฤดูคือ ต้นลำไยต้องสมบูรณ์ มีความพร้อม เมื่อราดสารยังไงก็ออกดอกโดยง่าย ตอบสนองต่อสารได้ดีมาก

การเตรียมต้นลำไยมาดี จะทำให้ออกดอกได้สม่ำเสมอทั้งต้น
การเตรียมต้นลำไยมาดี จะทำให้ออกดอกได้สม่ำเสมอทั้งต้น

การให้น้ำ การดูแลโรคและแมลง

การให้น้ำ ควรรักษาความชื้นโดยให้น้ำทุก 3-5 วัน เพื่อให้รากดูดสารเข้าสู่ต้นให้มากที่สุด ประมาณ 3-6 สัปดาห์ หลังใช้สาร ลำไยจะเริ่มแทงช่อดอก

Advertisement

ช่วงเวลาที่ควรหลีกเลี่ยงการใช้สารโพแทสเซียมคลอเรต ได้แก่ ฝนตกชุก และระยะที่ต้นลำไยแตกใบอ่อน

หลังราดสารโพแทสเซียมคลอเรตเสร็จ ราว 5 วัน (ใบยังอยู่ในระยะเพสลาด ใบยังไม่แก่) ก็จะต้องฉีดพ่นปุ๋ยและฮอร์โมนทางใบ เพื่อกดใบไม่ให้ลำไยแตกใบอ่อน ใช้สารโพแทสเซียมคลอเรต จำนวน 1 กิโลกรัม ผสมกับสารแพคโคลบิวทราโซล 10% จำนวน 1.5 กิโลกรัมต่อน้ำ 1,000 ลิตร ฉีดทางใบ เพื่อกดใบไม่ให้ลำไยมันแตกใบอ่อน สัก 3 ครั้ง ห่างกัน 5 วันครั้ง แต่ฉีดกดใบ ครั้งที่ 2 และ 3 ไม่ต้องใส่สารแพคโคลบิวทราโซล (จะใส่แค่ครั้งแรกเท่านั้น ถ้าใส่หลายครั้งจะทำให้ช่อดอกลำไยสั้น ช่อดอกไม่ยาว)

Advertisement

จากนั้น 21-30 วัน หลังที่เราราดสาร จะเป็นช่วงที่เหมาะแก่การ “ดึงดอก” ช่วย คือถ้าปล่อยให้แทงช่อดอกออกเอง ดอกมักจะออกมาไม่ค่อยพร้อมกัน ออกช่อดอกไม่สม่ำเสมอทั่วต้น เราจะต้องฉีดเพื่อดึงดอกช่วย เราจะใช้ปุ๋ยทางใบโพแทสเซียมไนเตรต (13-0-46 ) ฉีดพ่นเพื่อเปิดตาดอก อัตราที่ใช้ ถ้าเป็นหน้าฝน จะใช้โพแทสเซียมไนเตรต จำนวน 3 กิโลกรัมต่อน้ำ 1,000 ลิตร แต่ถ้าเป็นหน้าแล้ง จะต้องใช้ปุ๋ยโพแทสเซียมไนเตรต จำนวน 5 กิโลกรัมต่อน้ำ 1,000 ลิตร เพราะหน้าแล้งลำไยมันไม่ค่อยแตกยอด ต้องใช้ปุ๋ยในความเข้มข้นที่สูงขึ้น หลังจากนั้นไม่นานลำไยจะแทงช่อดอกออกมาอย่างสม่ำเสมอ ก็จะบำรุงช่อด้วยปุ๋ยและฮอร์โมนต่างๆ เช่น ปุ๋ยทางใบ สูตร 10-52-17 ผสมแคลเซียมโบรอน และสารป้องกันกำจัดโรคและแมลงตามสถานการณ์ ฉีดพ่นไปเรื่อยๆ ตามรอบของการดูแลรักษา แต่ถ้ามีฝนตก ก็จะออกฉีดหลังจากฝนหยุดตกทันทีในช่วงช่อดอก ดูแลน้ำให้สม่ำเสมอ ไม่ต้องมาก ดูแลโรคและแมลง เช่น ฉีดพ่นสารเคมีคลอไพรีฟอส 50%+ไซเพอร์เมทริน อัตรา 20-30 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร หลังจากแทงช่อดอก (ดอกยังไม่บาน)

สูตรเด็ดใบอ่อน แก้ปัญหาใบแซมดอก

กรณีที่ฝนชุกหรือแทงช่อออกมาแซมใบ การแก้ปัญหาต้องเร็ว ก็จะมี สูตร “เด็ดใบอ่อน” คือเห็นว่ามีใบแซมดอกออกมาแน่ๆ ในช่วงที่ช่อดอกยาวสัก 1 นิ้ว ก็ต้องฉีดพ่นให้ใบอ่อนที่แซมออกมาร่วง สูตรนี้จะใช้โพแทสเซียมคลอเรต จำนวน 1.5 กิโลกรัม ผสมกับฮอร์โมนโบรอน (B) 15% ต่อน้ำ 1,000 ลิตร ให้ฉีดช่วงเช้าหรือเย็น การฉีดต้องฉีดเพียงผ่านๆ อย่าฉีดแบบแช่หรือฉีดจนช่อเปียก แค่เป็นละอองผ่านเท่านั้น สูตรนี้ทำให้ใบอ่อนขนาดเล็กที่แซมออกมาร่วงเหลือแต่ดอกเท่านั้น แต่สูตรนี้ถ้าฉีดช้า ถ้าใบอ่อนบานแล้วก็ฉีดเด็ดใบไม่ร่วง แต่ใบก็จะหยุดชะงักไป ต้องสังเกตให้ดี พอช่อดอกเริ่มโรยก็จะฉีดล้างช่อดอก ก็จะเน้นใช้สารป้องกันกำจัดแมลงกลุ่มเมโทมิลผสมกับสารป้องกันกำจัดเชื้อราพวกโปรคลอราซ ช่วยล้างช่อดอกตอนที่ดอกกำลังโรย ช่วงนี้มักจะมีเชื้อราขึ้นพวกดอกที่มันโรยและบวกกับฮอร์โมนพวกจิบเบอเรลลิน และจะใช้ไปเรื่อยๆ เพื่อให้ขึ้นเม็ดไว ขั้วผลเหนียว ไม่สลัดผล ยืดช่อให้ยาวขึ้น ไม่ให้ช่อแน่นจนเกินไป สร้างเนื้อ ขยายผล ฮอร์โมนจิบเบอเรลลินจึงจะต้องใส่ไปเรื่อยๆ พร้อมกับการฉีดพ่นปุ๋ย ฮอร์โมน และสารป้องกันกำจัดโรคและแมลง

พอเริ่มติดผลอ่อนก็จะให้ปุ๋ยอินทรีย์ ประมาณ 4-5 กิโลกรัมต่อต้น ปุ๋ยเคมีใส่ทางดิน ก็จะใช้สูตรที่มีตัวหน้าสูง (N) เช่น สูตร 25-7-7 จำนวน 1 กิโลกรัมต่อต้น เดือนละ 1 ครั้ง เพื่อสร้างเมล็ดสร้างเปลือก แต่จะเปลี่ยนสูตรปุ๋ยทางดินตอนเมล็ดผลลำไยเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ก็จะใช้เป็นสูตรเสมอ เช่น 15-15-15 ใส่ให้ ต้นละ 1 กิโลกรัม ใส่ 1 ครั้ง พอเมล็ดลำไยเปลี่ยนเป็นสีดำเป็นช่วงของการสร้างเนื้อ สร้างความหวาน ก็จะต้องเปลี่ยนสูตรปุ๋ยทางดิน ที่มีตัวท้าย (K) สูง เช่น สูตร 15-5-20 ต้นละ 1 กิโลกรัม (หรือ สูตร 13-13-21, 8-24-24) ใส่ให้สัก 2 ครั้ง ก็จะเก็บเกี่ยว ช่วงเวลานี้ต้องให้น้ำสม่ำเสมอ ดูแลโรคและแมลง เช่น เพลี้ยหอยหลังเต่า มวลลำไย ผีเสื้อมวนหวาน โรคผลลาย ผลแตก ผลร่วง ให้ฉีดพ่นสารเคมี เช่น คลอไพรีฟอส 50%+ไซเพอร์เมทริน อัตรา 20-30 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร ผสมสารเคมีป้องกันเชื้อรา เช่น สารทีบูโคนาโซล 25% EW

เทคนิคทำลำไยเบอร์ใหญ่

ช่อที่ตัดทิ้งไป ให้เหลือสัก 60-70 ผล ต่อช่อ
ช่อที่ตัดทิ้งไป ให้เหลือสัก 60-70 ผลต่อช่อ

การแต่งหรือการซอยผลลำไย จะทำกัน 2 ครั้ง ครั้งแรกจะแต่งช่อลำไยตอนผลมีขนาดเท่าผลมะเขือพวง โดยมักจะตัดปลายช่อลำไยออก 1 ส่วน 3 ของความยาวช่อดอกลำไย หรือถ้าติดผลดกเกิน ก็อาจจะต้องตัดออกครึ่งช่อ ซึ่งเกษตรกรที่ตัดแต่งหรือแรงงานต้องมีความเข้าใจ โดยการตัดแต่งผลออกจะให้เหลือผลในช่อราว 60-70 ผล ซึ่งกำลังพอเหมาะ (ในกรณีที่ต้นลำไยติดผลดกมากกว่า 80 ผลต่อช่อ จะเป็นสาเหตุสำคัญทำให้อาหารไม่พอเพียงที่จะส่งไปเลี้ยงผล ทำให้ผลผลิตด้อยคุณภาพ) แล้วอีกสัก 20 วัน ก็จะกลับมาแต่งผล ครั้งที่ 2 เพื่อเป็นการเก็บตกจากรอบแรก เราต้องมาเก็บรายละเอียดอีกครั้ง การตัดแต่งช่อผลลำไย ทำให้ผลลำไยมีขนาดผลใหญ่ มีขนาดผลที่สม่ำเสมอกันทั้งช่อ ลำไยจะได้เบอร์ใหญ่ อุปกรณ์ที่ใช้ก็จะมีกรรไกรตัดแต่งกิ่ง ใช้แต่งกิ่งที่ต่ำ มือเอื้อมตัดถึง ส่วนที่สูงก็จะใช้กรรไกรยาวในการตัดปลายช่อดอก การจะตัดช่อผลออกมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของต้น ถ้าต้นสมบูรณ์สามารถไว้ผลต่อช่อได้มาก แต่ถ้าต้นไม่สมบูรณ์ควรไว้ผลต่อช่อน้อย การตัดช่อผลช่วยทำให้ผลลำไยมีขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น สามารถจำหน่ายในราคาสูง ทำให้มีรายได้ต่อต้นมากกว่าต้นที่ติดผลดก 

การป้องกันกำจัดโรคและแมลงในช่วงติดผล เกษตรกรควรหมั่นสำรวจการระบาดของแมลงในสวนลำไย แมลงที่สำคัญพบในช่วงออกดอก ได้แก่ เพลี้ยไฟ และไร 4 ขา ถ้าระบาดอย่างรุนแรงควรพ่นสารฆ่าแมลงไดเมโธเอท ในระยะที่ดอกยังไม่บาน แต่ไม่ควรพ่นสารฆ่าแมลงในช่วงดอกบาน เนื่องจากอาจจะเป็นอันตรายต่อแมลงที่ช่วยผสมเกสร ช่วงติดผลให้ระมัดระวังแมลงปากดูด เช่น เพลี้ยหอย เพลี้ยแป้ง ควรดูแลตั้งแต่ผลยังเล็กอยู่ โดยการฉีดพ่นด้วยน้ำมันปิโตรเลียมหรือไวท์ออยล์

ระยะเลี้ยงผลจนถึงเก็บเกี่ยว ต้นลำไยต้องห้ามขาดน้ำ “น้ำ” เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับลำไยนอกฤดูกาล ลำไยต้องได้น้ำอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งไม่เหมือนผลไม้บางชนิดที่อาจจะงดน้ำก่อนการเก็บเกี่ยวเพื่อเพิ่มความหวาน แต่ลำไยห้ามขาดน้ำ ถ้าลำไยขาดน้ำเปลือกจะนิ่ม ผลจะแตกง่าย และน้ำจะช่วยให้ผลลำไยมีน้ำหนักดี ส่งผลต่อน้ำหนักผลผลิตต่อไร่ อีกอย่างลำไยผิวมันจะแห้งไว อย่างลำไยที่ได้น้ำดีผิวที่ยังไม่แห้งมีความชุ่มชื้นเวลาส่งเข้าโรงงานอบแห้งผลลำไยจะอบได้ผิวสวย ส่วนความหวาน ไม่ต้องห่วง เพราะปุ๋ยจะเป็นตัวช่วยในเรื่องของความหวานมากกว่า

เตรียมเก็บเกี่ยว วางแผนการตลาด

ระยะเวลาตั้งแต่ราดสารจนเก็บเกี่ยวผลผลิต ก็ประมาณ 7 เดือน ดังนั้น เกษตรกรสามารถวางแผนการตลาดเอาไว้ได้ว่าต้องการขายผลผลิตลำไยช่วงเวลาใด เพราะลำไยมันสั่งได้ กำหนดได้ (แต่ถ้าย้อนไปถึงวันตัดแต่งกิ่ง ก็ต้องบวกเวลาเพิ่มไปอีก 2 เดือน)

ตั้งแต่ราดสารจนถึงการเก็บเกี่ยวผลผลิต ใช้เวลาราว 7 เดือน
ตั้งแต่ราดสารจนถึงการเก็บเกี่ยวผลผลิต ใช้เวลาราว 7 เดือน

การเก็บเกี่ยว ก่อนเตรียมผลบรรจุตะกร้าเพื่อการส่งออก ควรคัดแยกช่อผลที่เสียหายจากการเก็บเกี่ยว หรือมีตำหนิจากโรคและแมลงหรือผลเล็กเกินไปออกก่อน จากนั้นตัดแต่งช่อผลให้ก้านช่อยาวไม่เกิน 15 เซนติเมตร การคัดเกรดโดยแยกผลที่มีขนาดเล็กหรือใหญ่กว่าขนาดผลเฉลี่ยในช่อนำผลแต่ละเกรดมาจัดเรียงในตะกร้าพลาสติกสีขาว การบรรจุต้องอาศัยแรงงานที่มีความชำนาญ จึงจะจัดเรียงตะกร้าได้สวยและมีขนาดผลในตะกร้าสม่ำเสมอ การบรรจุตะกร้าจะบรรจุประมาณ 11.5 กิโลกรัม ซึ่งจะส่งผลต่อราคาที่จำหน่าย ซึ่งพ่อค้าหรือผู้ประกอบการจะใช้เกณฑ์ตัดสินราคา คือขนาดของผล สีผิว และการจัดเรียงตะกร้า ดังนั้น เกษตรกรจึงควรให้ความสำคัญในเรื่องของการคัดเกรดและการจัดเรียงตะกร้าด้วย หลังจากนั้นจึงจะลำเลียงผลผลิตไปยังจุดรับซื้อ

การแต่งช่อให้ลำไยติดผลที่ไม่หนาแน่นจนเกินไป จะทำให้ผลโตสม่ำเสมอ
การแต่งช่อให้ลำไยติดผลที่ไม่หนาแน่นจนเกินไป จะทำให้ผลโตสม่ำเสมอ

หลังการเก็บเกี่ยว ก็จะเป็นการพักฟื้นต้นลำไย บางสวนก็แต่งกิ่งช่วย บางสวนก็ไม่แต่งกิ่ง แต่จะเลี้ยงบำรุงต้นให้คืนความสมบูรณ์ เราก็ฉีดพ่นเพียงรักษาใบลำไยที่จะแตกออกมาอีก 2-3 ชุด ไม่ให้แมลงทำลายกัดกินใบเท่านั้น แล้วสัก 2 เดือน ล่วงหน้าก่อนการราดสาร เราจะตัดแต่งกิ่งโดยตัดแต่งกิ่งออกราว 40% ของต้น ให้ต้นมีความโปร่งภายในทรงพุ่ม แสงแดดและอากาศผ่านได้

เปรียบเทียบ ลำไยยักษ์พันธุ์จัมโบ้ (ซ้าย) ปลูกที่สวนคุณลี จังหวัดพิจิตร กับลำไยพันธุ์อีดอ พันธุ์การค้าหลักของบ้านเรา (ขวา)
เปรียบเทียบ ลำไยยักษ์พันธุ์จัมโบ้ (ซ้าย) ปลูกที่สวนคุณลี จังหวัดพิจิตร กับลำไยพันธุ์อีดอ พันธุ์การค้าหลักของบ้านเรา (ขวา)
ลำไยพันธุ์จัมโบ้ ปลูกที่สวนคุณลี จังหวัดพิจิตร เป็นอีกทางเลือกของลำไยที่มีขนาดผลใหญ่ หวานกรอบ เมล็ดลีบเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์
ลำไยพันธุ์จัมโบ้ ปลูกที่สวนคุณลี จังหวัดพิจิตร เป็นอีกทางเลือกของลำไยที่มีขนาดผลใหญ่ หวานกรอบ เมล็ดลีบเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์

การขายผลผลิตของลำไย ขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัยในแต่ละปี เฉลี่ยผลผลิตลำไยต่อไร่ จะประมาณ 2-5 ตัน ตอนนี้ผลผลิตของสวนป้อนเข้าสู่ตลาดทางภาคเหนือ เช่น จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ที่เขาจะลงมาซื้อถึงที่สวน ซึ่งการขายลำไยก็จะมีอยู่ 2 แบบ คือ ขายแบบเหมาสวน พ่อค้าก็ต้องเข้ามาดูสวน คาดคะเนผลผลิตให้แม่นยำ เพื่อเหมาไปแล้วไม่ขาดทุน เนื่องจากคาดคะเนผลผลิตลำไยที่จะเหมาผิด และการขายแบบเป็นกิโลกรัม สมมุติว่าตกลงกัน กิโลกรัมละ 20 บาท เก็บออกจากสวนกี่กิโลกรัม ก็ต้องคูณด้วยราคา 20 บาท ก็แล้วแต่เจ้าของสวนว่าพอใจขายแบบไหน คุณพิสุทธิ์ กล่าวว่า ราคาซื้อขายลำไยออกจากสวนที่ผ่านมา ก็จะอยู่ที่ กิโลกรัมละ 20-30 บาท ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่ผลผลิตออกสู่ตลาดด้วยในแต่ละปี ถ้าราคาซื้อขายเกิน 20 บาทต่อกิโลกรัม เกษตรกรก็พออยู่ได้ ถ้าราคาถึง 30 บาทต่อกิโลกรัม ก็ถือว่าดีมากในปีนั้นๆ สำหรับเกษตรกรผู้ปลูกลำไย

สนใจกิ่งพันธุ์ลำไยจัมโบ้ ติดต่อที่ สวนคุณลี โทร. 081-901-3760

ลำไยพร้อมจะขนส่งไปยังปลายทาง
ลำไยพร้อมจะขนส่งไปยังปลายทาง

……………………

เผยแพร่ออนไลน์ครั้งแรก เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2016