มะม่วง“อาร์ทูอีทู” ปลูกให้ผลผลิตมีคุณภาพดีที่ “สวนคุณลี” จ.พิจิตร ตลาดส่งออกต้องการ

จริงอยู่การปลูกมะม่วงของชาวสวนมะม่วงไทยในเชิงพาณิชย์ปัจจุบันนี้ แทบทั้งหมดจะปลูกพันธุ์น้ำดอกไม้สีทอง เนื่องจากผลิตเพื่อการส่งออกเกือบทั้งหมด โดยมีการส่งไปขายในรูปแบบของผลสด แช่แข็ง ฟรีซดราย ฯลฯ เป็นที่สังเกตว่าพื้นที่ผลิตมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองเพื่อการส่งออกหลักๆ จะอยู่ที่ จังหวัดฉะเชิงเทรา นครราชสีมา ประจวบคีรีขันธ์ อุดรธานี พิจิตร สระแก้ว สุพรรณบุรี ฯลฯ ยังมีการขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มเติมขึ้นอีกมาก โดยเกษตรกรไม่มีการตรวจสอบเรื่องการตลาดในอนาคตให้ดีเสียก่อน

เช่นเดียวกันกับที่ “สวนคุณลี” อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร โทร. (081) 886-7398, (081) 901-3760 ก็ปลูกมะม่วงไทยหลายสายพันธุ์ โดยเฉพาะมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง สุดท้ายได้เปลี่ยนยอดเป็นมะม่วงพันธุ์อาร์ทูอีทูทั้งสวน เพื่อผลิตในเชิงการค้า สร้างปริมาณสินค้าที่มากพอ เพราะมีพ่อค้ามารับซื้อเพื่อการส่งออกทั้งหมด และได้ราคาดีไม่แพ้มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง ำดอกไม้สื์ทูอีทูทั้งสวน เพราะมีพ้อค้ามารับซือีกทั้งมีราคาดีตลอดฤดูกาล แม้จะเป็นช่วงที่มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองมีราคาตกต่ำในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมากๆ ซึ่งก็จำหน่ายได้ กิโลกรัมละประมาณ 30-80 บาท (ซึ่งราคาจะปรับตัวขึ้นลงตามสภาวะเศรษฐกิจ แต่ในภาพรวมราคาก็ถือว่าดีมากพอสมควร) จากที่ปลูกมาเกือบ 10 ปี พบว่าราคามะม่วงอาร์ทูอีทู ราคาซื้อขายค่อนข้างดีในระดับที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก

คุณลี กับ มะม่วงอาร์ทูอีทูอีทูที่ทำการห่อผลด้วยถุงคาร์บอน

ประวัติความเป็นมา

อาร์ทูอีทู เป็นมะม่วงที่มีขนาดผลใหญ่และสีสด ในปี พ.ศ. 2528 คุณเอียน บัลเล่ คุณรอส ไรท์ และ คุณปีเตอร์ บีล นักวิชาการมะม่วงจากประเทศออสเตรเลีย ได้คัดเลือกพันธุ์จากต้นอ่อนของมะม่วงสายพันธุ์ฟลอริดาเค้นท์ และตั้งชื่อ “R2E2” (อาร์ทูอีทู) ชื่อมาจาก คำว่า Row 2 Experiment 2 จากแถวและตำแหน่งในการพัฒนาสายพันธุ์ที่ประเทศออสเตรเลีย (เหมือนกับมะม่วงน้ำดอกไม้เบอร์ 4 ของไทยมาจากชื่อตำแหน่งของแถว ซึ่ง อาจารย์สนั่น ขำเลิศ เป็นผู้คัดเลือก) อยู่ที่สถาบันวิจัยพืชสวนในประเทศออสเตรเลีย

ปัจจุบัน อาร์ทูอีทู เป็นมะม่วงพันธุ์การค้าของประเทศออสเตรเลีย การจำหน่ายอาร์ทูอีทูมีขึ้นในปี พ.ศ.2537 และเป็นที่ยอมรับในตลาดทั่วประเทศ และอาร์ทูอีทูยังเป็นมะม่วงที่มีการปลูกมากเป็น อันดับ 2 ของประเทศ (อันดับ 1 คือ พันธุ์เคนซิงตัน ไพรด์) และยังเป็นพันธุ์ที่มีอายุการเก็บรักษาหลังการเก็บเกี่ยวนานและเป็นที่ต้องการของตลาดเพื่อการส่งออก

ลักษณะของผล

รูปทรง อาร์ทูอีทู มีลักษณะทรงกลม มีน้ำหนักผลเฉลี่ย 500 กรัม ถึง 1 กิโลกรัม ความยาวของผลเฉลี่ย 10-12 เซนติเมตร และความกว้างของผลเฉลี่ย 77 มิลลิเมตร สีผิวเขียวอมเหลือง และส้มอมแดง สีเนื้อเมื่อสุกมีสีเหลืองมะนาว ลักษณะผลของเนื้อ เสี้ยนน้อย เนื้อแข็ง รสชาติหวาน รับประทานอร่อยและไม่มีกลิ่นขี้ไต้

ลักษณะของต้น

อาร์ทูอีทู เป็นไม้ยืนต้นที่มีความสูงปานกลางถึงสูงมาก ลักษณะเป็นทรงพุ่ม กิ่งเปราะและหักง่าย หลังจากการเพาะปลูกต้นมะม่วงอาร์ทูอีทูจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และเริ่มให้ผลผลิตตั้งแต่ ปีที่ 2 เป็นต้นไป แต่จะปล่อยให้ติดผลจำนวนมากในปีที่ 4 เป็นต้นไป เนื่องจากทรงพุ่มจะใหญ่สมบูรณ์แล้ว ลักษณะของดอกมะม่วงอาร์ทูอีทูมีความยาวของช่อดอก 20-50 เซนติเมตร ความกว้างของช่อดอก 10-20 เซนติเมตร ความหนาแน่นของขนมีน้อยมากหรือไม่มีเลย สีของดอกมีสีแดงด้านๆ และมีเปอร์เซ็นต์ของดอกสมบูรณ์เพศเป็นจำนวนมาก ทำให้มีการติดผลได้ง่ายกว่ามะม่วงพันธุ์อื่น

การปลูกและการตัดแต่งกิ่ง

ถึงแม้ว่า อาร์ทูอีทู จะเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ เราสามารถปลูกอาร์ทูอีทู ระยะปลูกที่เหมาะสมคือ 6×8 เมตร (ระยะระหว่างต้น 6 เมตร และระยะระหว่างแถว 8 เมตร) ปลูกได้ประมาณ 33 ต้น ต่อ 1 ไร่

วิธีการปลูก ในการปลูกนั้นเมื่อขุดหลุมเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ก็จะกลบดินที่ผสมปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอกให้พูนสูงกว่าระดับดินเดิม 10-20 เซนติเมตร นำกิ่งพันธุ์มะม่วงมาปลูก โดยตรวจสอบว่ากิ่งพันธุ์นั้นมีรากขดกันเป็นก้อนที่เรียกว่ารากขัดสมาธิหรือไม่ ถ้ามีต้องตัดออกก่อน เพราะจะทำให้ระบบรากไม่แผ่กระจายออก ทำให้ต้นแคระแกร็น

จากนั้นเจาะหลุมและนำมะม่วงต้นกล้าลงปลูก โดยให้รอยแผลของกิ่งทาบอยู่เหนือดิน ใช้ไม้ไผ่ปักแล้วใช้เชือกมัดยึดกับลำต้นเพื่อกันลมโยก ถ้าแสงแดดจัดอาจพรางแสงด้วยวัสดุต่างๆ เช่น ทางมะพร้าว โดยพรางแสงแดดทางทิศตะวันตก เพราะในช่วงบ่ายที่อุณหภูมิของวันจะสูงที่สุด สำหรับผ้าพลาสติกพันรอยทาบควรนำออกหลังจากการปลูกไปแล้ว 2-3 เดือน เพื่อป้องกันรอยทาบจะแยกจากกัน เมื่อปลูกเสร็จแล้วใช้มือกลบดินบริเวณโคนกิ่งให้แน่น แล้วรดน้ำให้ชุ่ม เพื่อให้ดินจับแน่นกับราก ปกติแล้วการปลูกมะม่วงจะทำในฤดูฝน ซึ่งสภาพอากาศชุ่มชื้น แต่ถ้าหากหลังจากปลูกไปแล้วฝนไม่ตก จำเป็นจะต้องรดน้ำทุก 2-3 วัน

เมื่อมะม่วงตั้งตัวได้ก็สามารถขยายระยะการให้น้ำเป็น 3-5 วัน ต่อครั้ง และ 7-10 วัน ต่อครั้ง ตามลำดับโดยสังเกตต้นมะม่วงว่า มีอาการเหี่ยวเฉาหรือดินแห้งหรือไม่ และเมื่อผ่านพ้นปีแรกไปแล้ว อาจจะให้น้ำทุก 15-20 วัน เพื่อไม่ให้ต้นมะม่วงชะงักการเจริญเติบโต ซึ่งปกติแล้วในสภาพพื้นที่ยกร่องจะมีปัญหาน้อยกว่าที่ดอน เนื่องจากระดับน้ำใต้ดินสูงในการตัดแต่งกิ่งและจัดทรงพุ่มมะม่วงอาร์ทูอีทู

โดยมะม่วงอาร์ทูอีทูเป็นพันธุ์มะม่วงที่โตเร็วมากในช่วง 2-3 ปีแรก ถ้าต้นไม่ได้รับการตัดแต่งกิ่ง ต้นจะสูงมากและให้ผลน้อยลง ในช่วง 2 ปีแรก ต้นมะม่วงต้องได้รับการตัดแต่งกิ่ง 2-3 ครั้ง ต่อปี เพื่อให้กิ่งก้านอยู่ในรูปทรงที่ดี เพื่อจะรองรับน้ำหนักของผลผลิตในช่วงปีต่อๆ ไป เนื่องจากอาร์ทูอีทูมีการเจริญเติบโตในแนวสูง การแต่งกิ่งเพื่อลดความสูงจึงมีความจำเป็นมากในช่วงปีแรกๆ และการตัดแต่งกิ่งก็ยังต้องทำทุกปีหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตหมดจากต้น

การใส่ปุ๋ย “ปุ๋ยอินทรีย์” เป็นปุ๋ยที่ได้จากซากพืชซากสัตว์ ช่วยให้ดินโปร่งอากาศและน้ำซึมผ่านได้สะดวก แก้ไขดินเหนียวให้ร่วน ช่วยให้ดินทรายจับตัวกันดีขึ้น และทำให้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์เป็นประโยชน์ต่อต้นไม้มากขึ้น ปุ๋ยอินทรีย์มีธาตุอาหารทุกอย่างครบ แต่มีอยู่ในปริมาณต่ำ จึงควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยวิทยาศาสตร์จะเป็นประโยชน์ต่อต้นมะม่วงยิ่งขึ้น “ปุ๋ยเคมี” หรือ “ปุ๋ยวิทยาศาสตร์” เป็นปุ๋ยที่ได้จากสินแร่ในธรรมชาติหรือจากการสังเคราะห์ขึ้น ซึ่งปุ๋ยเหล่านี้จะให้ธาตุอาหารต่อน้ำหนักมากกว่าปุ๋ยอินทรีย์

ปริมาณปุ๋ยที่จะให้ในแต่ละต้นคิดเป็นจำนวนกิโลกรัมนั้น คำนวณได้จากอายุของต้นมะม่วงเป็นปี หารด้วยสองเท่ากับจำนวนปุ๋ยกิโลกรัมของปุ๋ย หรือใช้เส้นผ่าศูนย์กลางของพุ่มต้นมะม่วงเป็นเมตรเท่ากับจำนวนกิโลกรัมของปุ๋ยต่อต้นต่อปีก็ได้ การใส่ปุ๋ยมะม่วงในแต่ละระยะ ทำได้ดังนี้

ระยะหลังตัดแต่งกิ่ง ควรใส่ปุ๋ย สูตร 15-15-15 ต้นละ 2 กิโลกรัม เพื่อให้กิ่งก้านใบที่แตกออกมามีความสมบูรณ์ แข็งแรง และใส่ปุ๋ยคอก 4-5 บุ้งกี๋ ร่วมเข้าไปด้วย

ระยะก่อนหมดฤดูฝน คือช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคม เป็นช่วงที่ต้องการให้มะม่วงหยุดการเจริญเติบโตทางกิ่งก้าน และเตรียมตัวสำหรับการออกดอก ระยะนี้ควรลดปริมาณปุ๋ยธาตุไนโตรเจนให้ต่ำลง

ถ้าเป็นดินร่วนหรือดินทราย แนะนำให้ใส่ปุ๋ย สูตร 8-24-24 แต่ในดินเหนียว แนะนำให้ใช้ สูตร 12-24-12 ต้นละ 2 กิโลกรัม

ระยะก่อนออกดอก ระยะก่อนออกดอกแต่ยังไม่แทงดอก เป็นช่วงที่บางครั้งจะมีฝนหลงฤดูหรือในบางเขตที่ฝนหมดช้า จะให้ปุ๋ยทางใบเพื่อกดไม่ให้แตกใบอ่อน อาจใช้ปุ๋ย สูตร 0-52-34 ฉีดพ่น อัตรา 100-150 กรัม ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น 1-2 ครั้ง ห่างกัน 10-14 วัน

ระยะติดผล เมื่อผลมะม่วงติดผลขนาดหัวไม้ขีด จนถึงอายุ 12 สัปดาห์ จะเป็นช่วงที่ผลมะม่วงมีการเจริญเติบโตของผลอย่างรวดเร็ว ถ้าติดผลดกและอาหารไม่เพียงพอ ผลจะเล็กแคระแกร็น

ในระยะนี้แหล่งที่มีน้ำชลประทาน แนะนำให้ใส่ปุ๋ยทางดิน สูตร 15-15-15 อัตรา ต้นละ 1-2 กิโลกรัม แต่ในแหล่งที่ไม่มีน้ำ ให้ใช้ปุ๋ยทางใบ สูตร 21-21-21 ในอัตรา 2-3 ช้อนแกง ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก 2 สัปดาห์ ประมาณ 5 ครั้ง

ระยะก่อนการเก็บเกี่ยว เป็นระยะที่เมล็ดของมะม่วงมีเปลือกหุ้มเมล็ดเริ่มแข็งขึ้น โดยทั่วไปเรียกว่า “เข้าไคล” อาจเพิ่มคุณภาพผลด้านความหวาน ความกรอบ โดยใช้ปุ๋ยทางใบ เช่น 13-0-46 หรือโพแทสเซียมคลอไรด์ 0-0-60 อัตรา 50 กรัม ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น 1-2 ครั้ง ห่างกัน 1 สัปดาห์ ก็ได้

มะม่วงพันธุ์อาร์ทูอีทูเป็นมะม่วงของประเทศออสเตรเลียที่ปลูกและให้ผลผลิตได้ในประเทศไทย แต่เป็นสายพันธุ์ที่บังคับให้ออกนอกฤดูได้ยากกว่าพันธุ์น้ำดอกไม้สีทอง แม้จะมีการใช้สารแพคโคลบิวทราโซล (เช่น แพนเทียม พลัส) ราดเพื่อบังคับก็ตาม แต่มีจุดเด่นตรงที่ถ้าออกดอกแล้ว ช่อดอกใหญ่และดอกสมบูรณ์เพศ ทำให้มีการติดผลได้ง่ายมาก หรืออาจจะกล่าวง่ายๆ ว่า ถ้าออกดอกแล้วโอกาสติดผลมีสูงมาก

การตลาด

ปัจจุบัน อาร์ทูอีทู เป็นมะม่วงที่มีความต้องการในตลาดค่อนข้างสูงในต่างประเทศ (เนื่องจากประเทศออสเตรเลียได้ทำตลาดเอาไว้แล้วทั่วโลก และผลผลิตจากทางออสเตรเลียจะมีน้อยหรือหมดฤดูกาลในช่วงเดือนเมษายน ในบ้านเราแนะนำว่า ควรจะผลิตมะม่วงอาร์ทูอีทูให้ออกก่อนฤดูกาลและในฤดูกาลจะดีที่สุด เพราะมะม่วงจากออสเตรเลียจะออกในช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์)

โดยปกติแล้ว อาร์ทูอีทู มีราคาสูงกว่ามะม่วงสายพันธุ์อื่น เนื่องจากสีที่แดงสวยสะดุดตา ผิวผลจะมีสีแดงเมื่อตอนติดผลโดนแสงแดด (ช่วงที่ผลโตเท่าผลส้มเขียวหวาน ก็จะต้องตัดแต่งกิ่งและใบที่บังผลให้ผลอ่อนมะม่วงอาร์ทูอีทูโดนแดดจัด) หรือถ้าจะห่อผลด้วยถุงห่อคาร์บอนชุนฟงในช่วงที่ขนาดผลเท่าผลส้มเขียวหวาน ผิวผลมะม่วงอาร์ทูอีทูก็จะเป็นสีเหลืองสวยมาก หรือห่อผลด้วยถุงกระดาษสีขาวของชุนฟง ผลมะม่วงอาร์ทูอีทูก็จะมีสีผิวออกเหลืองแต้มสีชมพู การที่จะห่อผลหรือไม่ห่อผลมะม่วงอาร์ทูอีทูนั้น จะขึ้นอยู่กับผู้ที่รับซื้อหรือผู้ส่งออก ก็ควรจะมีการติดต่อตกลงกับผู้ซื้อเอาไว้ล่วงหน้าจะดีที่สุด ซึ่งจะทำให้ชาวสวนมีทิศทางในการผลิตว่าสมควรที่จะไม่ห่อผลหรือห่อผลดีในฤดูกาลนั้นๆ

มะม่วงอาร์ทูอีทู มีอายุหลังการเก็บเกี่ยวนาน เนื่องจากเป็นมะม่วงที่มีเปลือกหนา และคุณภาพโดยรวม ทำให้มะม่วงสายพันธุ์นี้เหมาะสำหรับการส่งออก อาร์ทูอีทูได้ถูกส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น หลังจากใช้กระบวนการอบไอน้ำ เพื่อกำจัดแมลงวันทอง สำหรับประเทศไทย สวนวารินทร์ ซึ่งมี คุณวารินทร์ ชิตะปัญญา อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ได้ผลิตมะม่วงอาร์ทูอีทูเพื่อการส่งออกมานานกว่า 10 ปีแล้ว

คุณวารินทร์ เล่าว่า สายพันธุ์อาร์ทูอีทูนั้นมาจากประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเกษตรกรที่ประเทศออสเตรเลียได้พัฒนาสายพันธุ์นี้ขึ้นมา เพราะในอนาคตคนจะลดปริมาณการรับประทานอาหารที่มีรสหวานน้อยลง เพราะต่างประเทศนั้นจะไม่นิยมรับประทานอาหารที่มีรสหวานมากๆ ซึ่งมะม่วงพันธุ์อาร์ทูอีทูจะมีรสชาติหวานน้อยกว่ามะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้ (มะม่วงอาร์ทูอีทูสุก วัดค่าความหวานได้ ประมาณ 18 เปอร์เซ็นต์บริกซ์ ในขณะที่มะม่วงน้ำดอกไม้สุก วัดได้ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์บริกซ์) จึงคิดว่าน่าจะปลูกเพื่อการส่งออกต่างประเทศจะดีกว่า

มะม่วงพันธุ์อาร์ทูอีทู จึงเป็นมะม่วงสำหรับคนยุคใหม่และคนจีนนิยมเลือกซื้อ เพราะผิวพรรณของมะม่วงสวย เนื้อไม่เละจนเกินไป และสีผิวจะออกสีแดงอมชมพูมองดูน่ารับประทาน แล้วคนจีนยังจะชอบนำไปไหว้เจ้า ซึ่งช่วงเวลาที่จีนต้องการผลผลิตมาก เช่น ก่อนตรุษจีน ช่วงเดือนเมษายน ช่วงวันชาติจีน ช่วงวันไหว้พระจันทร์ คนจีนถือว่าวันสำคัญๆ เหล่านี้ เป็นวันที่ต้องใช้ผลไม้ที่มีคุณภาพสูงของดีเพื่อไหว้บรรพบุรุษ อีกทั้งนำไปเป็นของขวัญของฝาก