“ผู้กองแกรก” ใช้เวลาว่าง ปลูกเสาวรส อินทรีย์ สร้างรายได้เพิ่มเดือนละ 25,000 บาท

เป็นตำรวจอีกคนที่น่ายกย่อง เพราะนอกจาก ร.ต.อ. จำรูญ ทองขำดี วัย 58 ปี หรือที่เรียกกันว่า “ผู้กองแกรก” จะยึดอาชีพผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ในตำแหน่งรองสารวัตรสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดตรัง แล้ว ยังใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ด้วยการเป็นเกษตรกร ปลูกเสาวรสและพืชผักผลไม้นานาชนิดแบบเกษตรอินทรีย์ ชื่อ “ไร่ลุงแกรก” อยู่ที่ตำบลนาพละ หมู่ที่ 3 อำเภอเมือง จังหวัดตรัง ในเนื้อที่ 3 ไร่ ซึ่งในอนาคตหากมีความพร้อมมากกว่านี้เจ้าตัวตั้งใจว่าจะเปิดเป็นศูนย์เรียนรู้ให้ผู้คนได้มาศึกษาเรียนรู้วิถีเกษตรอินทรีย์แบบพอเพียงตามศาสตร์ของพระราชา และเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามากินและเก็บเสาวรสสดๆ ด้วยตัวเอง

 

มีรายได้ เดือนละ 20,000-25,000 บาท

ยามนี้ผลไม้หลักที่ทำเงินให้กับ “ไร่ลุงแกรก” คือ เสาวรส ทั้งพันธุ์สีม่วงและพันธุ์สีเหลือง ในเนื้อที่ 2 ไร่ครึ่ง ส่วนที่เหลืออีกครึ่งไร่และที่ว่างๆ ผู้กองแกรกยึดหลักปลูกทุกอย่างที่กิน และกินทุกอย่างที่ปลูก รวมแล้วมีพืชผักผลไม้อีกกว่า 30 ชนิด ซึ่งนอกจากจะกินในครัวเรือนแล้ว ยังขายทำเงินได้อีกด้วย อาทิ ไผ่กิมซุง มะม่วงหิมพานต์ ผักหวาน มะนาว มะพร้าว มะละกอ มันม่วงญี่ปุ่น ฯลฯ และยังเลี้ยงปลาในลำห้วยด้วย เรียกว่าถ้าได้เข้ามาที่ไร่นี้แล้วไม่อดตายแน่ เพราะมีทั้งผัก ผลไม้ปลอดสาร และปลา ให้กินอย่างอิ่มหนำสำราญ

ผู้กองแกรก บอกว่า การทำเกษตรแบบนี้ ทำให้ได้กินพืชผักผลไม้ที่ปลอดภัย และยังได้ออกกำลังกายไปในตัวด้วย ซึ่งที่ผ่านมาลงทุนไป 50,000-60,000 บาท ในการทำโครงสร้างเสาปูนเพื่อให้ต้นเสาวรสเลื้อย ทั้งเสาปูน เหล็กเส้น ที่ไม่ขึ้นสนิม และลวด ระยะห่าง 4 เมตร โดยขึงเป็นแนวรองรับลูกเสาวรส ปลูก 2 แปลง แปลงแรกปลูกเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว อายุปีเศษ จำนวน 110 ต้น  ส่วนแปลงหลัง เพิ่งปลูกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จำนวน 110 ต้น ออกลูกแล้วเช่นกัน

ในแต่ละวันสามารถเก็บเสาวรสไปขายได้วันละ 30-40 กิโลกรัม โดยขายให้พ่อค้าแม่ค้าในย่านท่องเที่ยวของจังหวัดตรังและกระบี่ ซึ่งจะใช้วิธีคัดไซซ์ ถ้าเป็นลูกใหญ่ ขายกิโลกรัมละ 50 บาท ขนาดกลาง กิโลกรัมละ 40 บาท ส่วนที่คละไซซ์ กิโลกรัมละ 30 บาท เฉลี่ยแล้วขายได้วันละประมาณ 1,000 บาท นอกจากนี้ มีแผนจะติดต่อกับร้านสินค้าเพื่อสุขภาพเพื่อนำเสาวรสไปขาย รวมแล้วแต่ละเดือนมีรายได้จากผลผลิตในไร่ 20,000-25,000 บาท

ลูกเสาวรสที่เก็บมานั้น จะไม่ได้ลูกโตทั้งหมด แต่ละต้นมีลูกโต 8-9 ลูก ต่อกิโลกรัม ประมาณ 10% ลูกขนาดกลาง 10-12 ลูก ต่อกิโลกรัม มีประมาณ 30% นอกนั้นคละไซซ์ ประมาณ 20 ลูก ต่อกิโลกรัม

 

เตือนหน้าแล้งขาดน้ำ ดอกจะร่วง

สำหรับพืชผักสวนครัว จะมีพ่อค้าแม่ขายไปเก็บเองที่ต้น มีทั้งมะม่วงหิมพานต์ 200 ต้น ที่ปลูกห่างกันแค่ 1 เมตร สำหรับเก็บใบขายอย่างเดียว และยังมีชะอม มีมะกอก ปลูกเพื่อขายยอด รวมถึงผักบุ้งยอดขาว พอเก็บไปขายเสร็จจะนำเงินมาจ่ายให้ผู้กองแกรก เนื่องจากเจ้าของไร่ไม่มีเวลามาเก็บให้ วันหนึ่งขายได้ 150-160 บาท

ทั้งนี้ก่อนที่จะปลูกเสาวรส ได้ส่งญาติพี่น้องไปเรียนรู้การปลูกจากโครงการหลวง ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับมาใช้ในไร่ อีกทั้งในส่วนผู้กองแกรกเอง ในช่วงที่ไปบรรยายที่ไหน โดยเฉพาะตามศูนย์เรียนรู้ต่างๆ ก็นำข้อมูลและประสบการณ์ที่ไปรู้ไปเห็นมาปรับประยุกต์ใช้เช่นกัน อย่างเช่น การทำปุ๋ยหมักจากเศษผักและเปลือกเสาวรสใช้เอง และการใช้กาวดักแมลงตามธรรมชาติ

อย่างไรก็ตาม ก่อนจะปลูกเสาวรสนั้น พื้นที่นี้เคยเป็นผืนนา ต่อมาปรับเป็นสวนปาล์ม พอจะปลูกเสาวรสผู้กองแกรก จึงไปปรึกษากับทางสำนักงานที่ดินจังหวัดตรัง ซึ่งได้ให้คำแนะนำว่าที่ดินมีความเป็นกรดมาก ต้องปรับสภาพดินด้วยการเติมโดโลไมท์

ในการปรับสภาพดินนั้นผู้กองแกรก เล่าว่า เริ่มจากการไถครั้งแรกแบบหยาบๆ ก่อน จากนั้นแล้วโรยโดโลไมท์ให้ทั่ว พร้อมโรยเมล็ดปอเทือง พอต้นเริ่มโตหน่อยก็ไถกลบ และเพื่อให้ดินร่วนซุยก็ใช้แกลบขี้ไก่ใส่เข้าไปเพื่อปรับให้ค่า pH ไว้สัก 5-6 วัน

ส่วนการขุดหลุมปลูกเสาวรสขุดให้เป็นรัศมีวงกลม ประมาณ 50 เซนติเมตร ลึกประมาณคืบเศษๆ ผู้กองแกรกแนะนำว่า เวลาปลูกอย่าปลูกตรงโคนเสาพอดี เพราะจะทำให้พรวนดินลำบาก ต้องปลูกระหว่างกลาง ปลูกห่างกันประมาณ เสาละ 4 เมตร เพื่อให้กิ่งก้านแผ่ไปได้สะดวก นอกจากนี้ ควรปลูกในหน้าแล้งดีกว่า  เพราะถ้าปลูกตอนหน้าฝน ใบที่ขึ้นมาจะถูกแมลงกัดกิน และอย่าปล่อยให้ออกดอกในช่วงหน้าแล้ง เนื่องจากหากขาดน้ำจะทำให้ดอกร่วงหมด

กรณีช่วงหน้าแล้ง ถ้าร้อนจัด อุณหภูมิสูงเกิน 30 องศาเซลเซียส ทำให้ดอกร่วงหมด ซึ่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์-เมษายนที่ผ่านมาก็เจอปัญหานี้ไปแล้ว จึงต้องติดสปริงเกลอร์ และถือเป็นความโชคดีที่ไร่นี้มีลำห้วยมีแหล่งน้ำอยู่ใกล้ๆ

ปกติเสาวรสจะออกดอกช่วง 6-7 เดือน แต่ที่ไร่ลุงแกรก พอเดือนที่ 5 ก็เริ่มออกดอกแล้ว เพราะบำรุงดินใส่ปุ๋ยอย่างดี อีก 1 เดือน เก็บลูกได้เลย ซึ่งในการดูแลนั้น พอเริ่มปลูกได้ ประมาณ 1 สัปดาห์ ก็ใส่อีเอ็มและขี้ไก่แกลบ ถ้ามีทุนก็ใช้สปริงเกลอร์ให้น้ำ แต่ที่ไร่ลุงแกรกใช้อุปกรณ์เก่าๆ มาดัดแปลงทำเป็นสปริงเกลอร์ พอปลูกไปได้ 15 วัน ก็ใช้ขี้ไก่แกลบ และใช้น้ำอีเอ็มราดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อทำให้ดินร่วนซุย พอครบ 1 เดือน ก็เติมขี้ไก่แกลบและน้ำอีเอ็มอีกรอบ และเติมอีเอ็มใส่ทุกสัปดาห์

ช่วงแรกต้องรดน้ำทุกวัน แต่ถ้าฝนตกชุกทั้งสัปดาห์ก็ไม่ต้องรด อย่างไรก็ตาม พอเข้าหน้าฝน หากฝนตกเยอะก็มีปัญหาเพราะฟ้าครึ้มทั้งวัน ไม่มีแสงแดด ใบไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ อยู่ในที่ร่มเกินไป จะมีแต่ใบ ไม่มีลูก หรือถ้ามีลูกก็ไม่โต

วิธีป้องกันและกำจัดโรค-แมลง

ในการปลูกเสาวรสแบบอินทรีย์แน่นอนว่าจะต้องมีโรคมีหนอนมีแมลงมากวนใจ ผู้กองแกรก ระบุว่า มีปัญหาเรื่องโรค คือเป็นโรคหนองไชโคน มีหนอนมาเจาะต้น ตอนต้นโต ประมาณ 5 เดือน จึงใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านด้วยการใช้น้ำยาเส้นฉีดพ่น รวมทั้งยัดใส่ตรงที่หนอนเจาะทำให้หนอนตายอยู่ในต้นเลย แต่ปัญหานี้ยังไม่หนักเท่าไหร่ ที่สาหัสกว่าคือ แมลงวันทองที่จะมาดูดน้ำตอนที่เป็นลูกเล็กๆ จนทำให้ลูกลีบ จึงแก้ปัญหาด้วยการไปซื้อฮอร์โมนดักแมลงมาใส่ในขวดพลาสติก แล้วนำไปแขวนไว้ตามจุดต่างๆ แมลงวันทองจะเข้ามาในขวดและออกไม่ได้

ผู้กองแกรก บอกว่า หากเปรียบเทียบรสชาติเสาวรสที่ไร่กับของโครงการหลวง ไม่แตกต่างกันมาก เพราะลูกสีเหลืองถ้าเก็บจากต้นแล้วทิ้งไว้ 3-5 วัน จะออกหวาน แต่คนมักนิยมเสาวรสสีม่วงมากกว่า เพราะมีรสชาติหวาน ที่ไร่เองนอกจากจะมีเสาวรสสีเหลือง–สีม่วงแล้ว ก็มีเสาวรสที่ออกสีชมพูด้วย เนื่องจากแมลงภู่-ผึ้ง ผสมข้ามต้นระหว่างสีเหลืองกับสีม่วง แต่ถ้าพูดถึงขนาดเสาวรสของโครงการหลวงลูกจะใหญ่กว่า

พร้อมกันนี้ผู้กองแกรกให้คำแนะนำสำหรับผู้ที่อยากปลูกเสาวรส สิ่งสำคัญคือ

  1. ต้องดูในพื้นที่ก่อนว่ามีตลาดรองรับหรือไม่ อย่างที่ไร่จะมีบรรดาแม่ค้าที่ขายอยู่ตามแหล่งท่องเที่ยวให้นำผลผลิตไปฝากขาย แล้ววันรุ่งขึ้นค่อยไปเก็บเงิน
  2. ต้องดูว่าพื้นที่ที่จะปลูกมีแหล่งน้ำเพียงพอไหม
  3. ดินพร้อมจะปลูกไหม ถ้าดินมีปัญหาก็ให้ไปปรึกษาสำนักงานพัฒนาที่ดินในแต่ละจังหวัด ซึ่งจะมีหมอดินอาสา และจะไปตรวจสอบที่ดินก่อนว่ามีสภาพอย่างไร ส่วนใหญ่จะแนะนำให้เติมโดโลไมท์เพื่อปรับสภาพดิน

สนใจ อยากปรึกษาหารือเรื่องการปลูกเสาวรสแบบเกษตรอินทรีย์จากผู้กองแกรก หรือจะติดต่อซื้อผลผลิตจากไร่นี้ ติดต่อสอบถามได้ที่ โทร. (086) 941-6910