สมบัติ ศิริวรรณ พลิกผืนดินทำไร่นาสวนผสม ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง สร้างรายได้ปีละหลายแสน

การทำไร่นาสวนผสมตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ถ้ารู้จักจัดการใช้ที่ดิน ใช้แรงงานและเงินทุนให้เกิดการผสมผสานกัน เป็นการลดต้นทุนผลผลิต ลดความเสี่ยง จะทำให้เกิดรายได้ที่ยั่งยืน มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น สามารถอยู่ได้โดยไม่สร้างความเดือดร้อนให้ครอบครัวตนเองและผู้อื่น ซึ่งตามความหมายของหลักเศรษฐกิจพอเพียง ก็บอกอยู่แล้วว่า คือเศรษฐกิจที่ต้องสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของตนเองให้ดีเสียก่อน ให้มีความพอกินพอใช้สามารถพึ่งพาตนเองได้ และเมื่อมีความเป็นอยู่ที่ดี มีพอกิน พอใช้ ย่อมสามารถสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับตนเองได้ อีกทั้งยังเป็นการสร้างฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศได้อีกทางหนึ่งด้วย

พ่อตามาช่วยดูแลหมู

คุณสมบัติ ศิริวรรณ หรือ คุณบัติ  อยู่บ้านเลขที่ 78 หมู่ที่ 11 บ้านหนองเหล่า ตำบลหนองเหล่า อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี มีอาชีพทำนา และเป็นอีกผู้หนึ่งที่หันมาทำไร่นาสวนผสม ตามแนวทาง “เศรษฐกิจพอเพียง” อันเป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอด จนสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองและครอบครัวให้ดำรงอยู่ได้อย่างสบาย ไม่มีหนี้สิน มีใช้ มีอยู่ มีกิน และมีเก็บอีกด้วย

แปลงปลูกพริก

คุณสมบัติ เล่าถึงการทำไร่นาสวนผสมให้ฟังว่า ตนเองแต่งงานกับ คุณรุ่งสิวา ศิริวรรณ อายุ 38 ปี มีบุตรด้วยกัน 2 คน เป็นผู้ชายทั้งคู่ คนโตก็อายุ 18 ปี ส่วนคนเล็กก็ 13 ปี ตนเองมีที่นาอยู่ 18 ไร่ ได้ช่วยกันทำนากับภรรยาคู่ชีวิตมานานหลายปี ทำไปทำมาก็ไม่มีอะไรดีขึ้น มีแต่ทรงกับทรุด จึงปรึกษากับภรรยาว่า เราน่าจะพลิกผืนนาให้มีค่ามากกว่านี้ ด้วยการทำไร่นาสวนผสม ซึ่งภรรยาก็เห็นดีเห็นงามด้วย จากนั้นจึงเริ่มแบ่งพื้นที่ทำทันที ในปี พ.ศ. 2550 ส่วนวิชาความรู้ก็พอมีเป็นทุน เนื่องจากเกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง เคยเห็นคนอื่นทำก็จดจำได้ทุกกระบวนการ อีกทั้งศึกษาเพิ่มเติมจากตำราด้วยตนเองอยู่เป็นประจำ จนทำให้การทำไร่นาสวนผสมของตนเองราบรื่นด้วยดีตลอดมา

บ่อเลี้ยงปลานิล ปลาไน

คุณสมบัติ เล่าต่ออีกว่า ตนเองแบ่งที่ดินที่มีอยู่ 18 ไร่ ด้วยการทำนาปลูกข้าวจำนวน 12 ไร่ ทำสวนพริก จำนวน 3 ไร่ ที่เหลืออีก 3 ไร่ ใช้เป็นที่เลี้ยงวัวและควาย เลี้ยงไก่พันธุ์พื้นเมือง ขุดบ่อเลี้ยงปลา และทำโรงเรือนเลี้ยงหมูหรือเล้าหมู ขุดบ่อเลี้ยงกบ และปลูกพืชผักสวนครัว สำหรับวัวนั้น ตนเองเลี้ยงเอาไว้ 3 ตัว เป็นวัวเพศเมีย พอตกลูกออกมาก็ขายไปเป็นรอบๆ ส่วนกระบือหรือควายนั้นก็เลี้ยงแม่พันธุ์เอาไว้ 3 ตัวเช่นกัน เลี้ยงเพื่อขายลูกเท่านั้นถ้าเลี้ยงมากกว่านี้ไม่ได้เพราะแรงงานมีไม่พอ เพราะลูกชาย 2 คน ไปเรียนหนังสือที่ในตัวเมืองอุบลราชธานี คงมีเพียงตนเองและภรรยาเท่านั้นที่ช่วยกันทำ งานบางอย่างก็จะมีพ่อตาและแม่ยาย มาช่วยทำเป็นบางครั้งบางคราว ส่วนไก่พื้นเมืองนั้น ก็เลี้ยงไว้เป็นอาหารเท่านั้น นอกจากนี้ ยังได้ขุดบ่อเลี้ยงปลาเอาไว้ 1 บ่อ เพื่อเลี้ยงปลานิลและปลาตะเพียน ซึ่งไม่ได้เน้นเรื่องเลี้ยงปลาเท่าไร เลี้ยงไว้แต่ละรุ่นก็ประมาณ 500 ตัว ก็เลี้ยงไว้เป็นอาหารเท่านั้น แต่ถ้ามีคนมาขอซื้อ ก็แบ่งขายบ้าง นอกจากนี้ ยังได้เลี้ยงกบอีก จำนวน 1 บ่อ เลี้ยงไว้เป็นอาหารและเอาไว้ขาย

ต้นข้าวในนาเขียวขจี รอวันออกรวง

นอกจากนี้ ตนเองยังได้เลี้ยงหมูด้วย ซึ่งก็เลี้ยงมาตั้งแต่ปี 2550 เช่นกัน ส่วนพ่อพันธุ์แม่พันธุ์นั้นจะคัดเอาไว้เอง ตั้งแต่ตอนซื้อมาใหม่ๆ ทำให้ลดต้นทุนผลผลิตได้บ้าง ไม่ต้องไปจ้างพ่อพันธุ์ผสม ซึ่งตอนนี้มีหมูอยู่ประมาณเกือบ 50 ตัว สำหรับหมูนี้ก็เลี้ยงเอาจริงเอาจังหวังขายได้กำไรกันเลยล่ะ เพราะได้เงินไว แต่ละรุ่นเลี้ยงไว้  3 เดือนก็ขายออก ทั้งนี้ จะมีพ่อค้าขาประจำมาจากในตัวเมืองอุบลราชธานี มารับซื้อถึงบ้านกันเลย ช่วงที่ขายน้ำหนักหมูตัวละ 90-100 กิโลกรัม ส่วนราคาขายก็กิโลกรัมละ 60 บาท ขายออกแต่ละครั้งก็ 40-50 ตัว ก็คิดเป็นเงินก็ 2-3 แสนบาท เมื่อหักต้นทุนผลผลิตแล้ว ก็ยังมีกำไรอยู่ในหลักแสนเหมือนเดิม นี่คือยอดรับจากการขายหมูในรอบ 3 เดือน ถ้าคิดเป็นรอบปีหรือรายปี ก็จะมีกำไรดีกว่านี้

ควายที่เลี้ยง

เกษตรกรคนเก่งยังได้พูดถึงการปลูกพริกให้ฟังอีกว่า ตนเองและภรรยาได้ปลูกพริกขี้หนูพันธุ์อัมพวา บนเนื้อที่ 3 ไร่ ส่งผลให้มีรายรับอย่างงดงามทุกปี ทั้งนี้ ได้เริ่มปลูกมาตั้งแต่ปี 2555 แต่ละปีจะเริ่มปลูกในเดือนสิงหาคม และไปเก็บผลผลิตในเดือนธันวาคม โดยมีรายได้จากการขายพริกหักต้นทุนผลผลิตและค่าจ้างเก็บพริกแล้ว จะเหลือเงินเก็บปีละ 200,000 บาท นับว่าเป็นรายได้ที่งดงามทีเดียว และถ้าหากบางปี พริกมีราคาก็จะมีกำไรมากกว่านี้ และที่ผ่านๆ มา ในบางปีพริกราคากิโลกรัมละ 70 บาท ขายได้เงินอาทิตย์ละ 70,000 บาทก็เคย และในปี 2559 พริกแพงมากราคากิโลกรัมละ 100 บาท ทำให้ตนเองโชคดีขายพริกมีเงินเหลือเก็บหลายแสนบาท แต่อย่างไรก็ตาม การปลูกพริกนี้ถ้าใจไม่สู้ก็จะเห็นผลน้อย ได้กำไรน้อย เพราะว่าการปลูกพริกต้องหมั่นเอาใจใส่ดูแลรักษาเป็นอย่างดีจึงจะมีผลตอบแทนสูง

คุณสมบัติ ศิริวรรณ

การดูแลรักษาต้นพริกนั้น ต้องมีความรู้และใจสู้ เพราะการปลูกพริกจะลำบากพอสมควร ต้องอาศัยทั้งใจสู้และความรู้บวกกัน จึงจะสำเร็จ ซึ่งหลังจากปลูกแล้วต้องใส่ใจดูแลเป็นอย่างดี เริ่มตั้งแต่ การให้น้ำในช่วงแรกของการเจริญเติบโต ต้องให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ และการกำจัดวัชพืช ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องใส่ใจ ต้องกำจัดวัชพืชบ่อยๆ ในช่วงที่พริกยังเป็นต้นเล็ก ช่วงนี้อาจจะต้องใช้สารเคมีช่วยกำจัดวัชพืช และต้องใช้ให้เป็นและให้ถูกวิธี ไม่เช่นนั้นจะเกิดอาการแพ้สารเคมี ถึงขั้นเจ็บป่วยได้ หรือจะจ้างแรงงานคนมากำจัดวัชพืชให้ก็ได้ ต่อไปก็จะเป็นการให้ปุ๋ย การให้ปุ๋ยพริกควรศึกษาให้ดีๆ ที่สำคัญควรเป็นปุ๋ยที่มีสูตรธาตุอาหารครบ เช่น ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 13-13-21 จะให้ในอัตรา 25-50 กิโลกรัม ต่อไร่ก็ได้ หรือถ้าดินอุดมสมบูรณ์มากก็ลดปริมาณลงมาได้

ควรให้ปุ๋ยน้ำทางใบของต้นพริกบ้าง ให้โดยการฉีดพ่นทุกครั้งหลังจากที่เราการเก็บเกี่ยวผล และการใส่ปุ๋ยควรจะแบ่งใส่ 2 ครั้ง ใส่ครั้งแรกก่อนปลูก ไม่ต้องใส่มากเพราะใส่เป็นปุ๋ยรองพื้นโดยพรวนกลบลงไปในดิน และใส่ครั้งที่ 2 เมื่อพริกอายุ 10-15 วัน คือหลังจากย้ายต้นกล้า ใส่โรยข้างต้น ส่วนการเก็บเกี่ยวนั้น คนที่เคยปลูกพริกจะไม่ค่อยมีปัญหาในการเก็บ จะรู้กันดีว่า ก่อนเก็บเกี่ยวสัก 1 สัปดาห์ ต้องใส่ปุ๋ย สูตร 15-15-15 อัตราส่วน 1 ช้อนโต๊ะ ต่อพริก 1 ต้น ซึ่งจะทำให้ต้นพริกสมบูรณ์ ออกดอกและแตกยอด และหลังจากเก็บเกี่ยวไปได้ 4-5 ครั้ง ก็ใส่ปุ๋ยอีก โดยใช้ปุ๋ยสูตร 13-13-21 โดยมีอัตราส่วน 1 ช้อนโต๊ะ ต่อพริก 1 ต้น เพื่อเป็นการเพิ่มผลผลิตพริก และหลังการเก็บเกี่ยวแต่ละครั้ง ควรฉีดฮอร์โมนเพื่อให้ต้นพริกออกดอก แตกยอด ติดผลดี

กบในบ่อเลี้ยง

นอกจากนี้ ยังมีเทคนิคหรือเคล็ดลับไม่ลับในการทำไร่นาสวนผสมให้ประสบผลสำเร็จ ไม่ว่าจะปลูกข้าว เลี้ยงสัตว์ ปลูกพืช ปลูกพริกให้ได้ผลดี หากจะนำมาเอ่ยตรงนี้ทั้งหมดคงจะยาวมาก เอาเป็นว่า หากเกษตรกรท่านใดอยากไปปรึกษา หรือว่าขอคำแนะนำ หรือจะไปศึกษาดูงาน ก็ติดต่อนัดหมายกับตนเองได้ทางโทรศัพท์ (081) 363-3518

นับได้ว่า คุณสมบัติ ศิริวรรณ เป็นเกษตรกรตัวอย่างที่หนักเอา เบาสู้ นำความรู้ที่มีอยู่มาทำไร่นาสวนผสมตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยการรู้จักจัดการใช้ที่ดิน ใช้แรงงาน และเงินทุน ให้เกิดการผสมผสานกัน อันเป็นการลดต้นทุนผลผลิต ลดความเสี่ยง จนทำให้เกิดรายได้ที่ยั่งยืน มีกิน มีใช้ มีเงินฝาก มีเงินส่งลูกเรียนสูงๆ มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ควรค่าแก่การยกย่องชมเชยยิ่งนัก 

…………………….

เผยแพร่ในระบบออนไลน์เป็นครั้งแรก เมื่อวันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ.2563