“ศูนย์วิจัยกสิกร” ชี้ภัยแล้งปีนี้กระทบ ข้าว-อ้อย คาดสูญกว่า 1.5 หมื่นลบ. หรือ 0.1% ของ จีดีพี

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ประเทศไทยได้เข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการแล้ว ตั้งแต่ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2562 ตามประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยาที่คาดการณ์ว่า ฤดูร้อนปีนี้จะมาเร็วและนานมากกว่าทุกปี ซึ่งอาจยาวนานไปจนถึงราวเดือนพฤษภาคม 2562

โดยฤดูร้อนปีนี้จะมีอุณหภูมิร้อนกว่า ปี 2561 และร้อนมากกว่าค่าปกติราว 1-2 องศาเซลเซียส ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำฝนและระดับน้ำในเขื่อน โดยหากพิจารณาปริมาตรน้ำใช้การได้ในเขื่อนของไทยแยกตามรายภาค ณ วันที่ 4 มีนาคม 2562 จะเห็นได้ว่า ปริมาตรน้ำใช้การได้ในเขื่อนทั้งประเทศลดลง 13.5% (YoY)

โดยเฉพาะในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ส่งสัญญาณชัดเจนจากการที่มีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนในระดับที่ต่ำมาก ทำให้ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีสถานการณ์น้ำที่น่าเป็นห่วง และอาจจะเข้าสู่วิกฤติมากขึ้นในเดือนเมษายนนี้ที่จะเป็นช่วงฤดูแล้งอย่างเต็มรูปแบบ หากยังไม่มีน้ำไหลลงเขื่อนเพิ่มเติม

ซึ่งจากสัญญาณฤดูร้อนดังกล่าวที่มาเร็วและนานกว่าทุกปี จะส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตทางการเกษตรที่จะเก็บเกี่ยวเพื่อออกสู่ตลาดในช่วงนี้ให้ลดลง จนอาจกระทบต่อรายได้เกษตรกรให้ต้องเผชิญความท้าทายมากขึ้น

ภัยแล้ง ปี 2562 ข้าว อ้อย ได้รับผลกระทบหนักสุด รายได้เกษตรกรทั้งปี 2562 ยังอยู่ในแดนลบ

จากการที่ภัยแล้งในปีนี้ได้ส่งสัญญาณที่มาเร็วและยาวนานกว่าทุกปี ซึ่งส่อเค้าถึงระดับน้ำในเขื่อนที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะกระทบต่อพืชเกษตรสำคัญที่กำลังเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคดังกล่าวคือ ข้าวนาปรัง ซึ่งมีผลผลิตอยู่ในภาคกลางเป็นหลักถึง 47.8% และอ้อย ซึ่งมีผลผลิตอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นหลักถึง 43.5% โดยมีรายละเอียด ดังนี้

• ข้าวนาปรัง คิดเป็นผลผลิตราว 23.5% ของผลผลิตข้าวทั้งประเทศ โดยในช่วงที่เกิดภัยแล้งหนักในเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2562 ซึ่งเป็นช่วงที่กำลังเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวนาปรังเพื่อออกสู่ตลาดกว่า 75% ของปริมาณผลผลิตข้าวนาปรังทั้งประเทศ อาจทำให้ผลผลิตข้าวนาปรังได้รับความเสียหาย และอาจช่วยดันราคาข้าวในช่วงนี้ให้ขยับขึ้นได้ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ราคาข้าวอาจขยับขึ้นได้ในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2562 แต่โดยภาพรวมราคาข้าวทั้งประเทศในปี 2562 อาจยังให้ภาพที่หดตัวอยู่ เพราะปริมาณผลผลิตข้าวนาปรังมีเพียงราว 1 ใน 4 ของปริมาณข้าวทั้งประเทศ จึงอาจยังไม่มีน้ำหนักมากพอในการผลักดันให้ภาพรวมราคาข้าวขยายตัวได้ในแดนบวก จึงคาดว่าราคาข้าวเฉลี่ยใน ปี 2562 อาจอยู่ที่ 10,650-10,740 บาท ต่อตัน หรือหดตัว 8-1.7% (YoY)

• อ้อย โดยในช่วงที่เกิดภัยแล้งหนักในเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2562 ซึ่งเป็นช่วงที่กำลังเก็บเกี่ยวผลผลิตอ้อยเพื่อออกสู่ตลาด อาจทำให้ผลผลิตอ้อยได้รับความเสียหาย และอาจช่วยดันราคาอ้อยในช่วงนี้ให้ขยับขึ้นได้ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ราคาอ้อยอาจขยับขึ้นได้ในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2562 แต่โดยภาพรวมราคาอ้อยใน ปี 2562 อาจยังให้ภาพที่หดตัวอยู่ ตามแนวโน้มราคาน้ำตาลทรายดิบในตลาดโลกที่อยู่ในช่วงขาลง เนื่องจากผลผลิตอ้อยในตลาดโลกอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะบราซิล จึงคาดว่าราคาอ้อยเฉลี่ยในปี 2562 อาจอยู่ที่ 750-760 บาท ต่อตัน หรือหดตัว 1.3-2.6% (YoY)

จากผลของภัยแล้งใน ปี 2562 ที่มาเร็วและยาวนานขึ้น อาจไม่ได้ทำให้ราคาเพิ่มขึ้นมากนัก แต่จะมีผลต่อปริมาณผลผลิตที่ลดลง โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ภัยแล้งในปี 2562 น่าจะมีผลกระทบอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงมีพืชเกษตรเพียงไม่กี่รายการที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งเป็นพืชที่รวมแล้วมีน้ำหนักในตะกร้าดัชนีราคาสินค้าเกษตรไม่มากนัก

โดยในแง่ของราคาอาจขยับขึ้นได้ในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2562 ทำให้โดยภาพรวมทั้ง ปี 2562 ราคาสินค้าเกษตรอาจขยับดีขึ้นเป็นหดตัวอยู่ที่ 0.1-0.5% (YoY) เมื่อเทียบกับคาดการณ์เดิมที่ราคาสินค้าเกษตรจะหดตัว 0.2-0.6% (YoY)

ขณะที่ในแง่ของผลกระทบต่อผลผลิตในช่วงภัยแล้งจะมีปริมาณลดลง ซึ่งถ้ามองต่อไปในมุมของรายได้เกษตรกร ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ผลจากภัยแล้งใน ปี 2562 อาจทำให้รายได้เกษตรกรในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2562 ให้ภาพที่ไม่ดีนัก จากผลของแรงฉุดด้านผลผลิต ซึ่งจะส่งผลต่อภาพรวมรายได้เกษตรกรใน ปี 2562 ให้หดตัวเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 1.2-1.6% (YoY) เมื่อเทียบกับคาดการณ์เดิมที่หดตัว 0.4-0.8% (YoY)

มูลค่าความเสียหายจากภัยแล้ง ปี 2562 ประเมินราว 15,300 ล้านบาท

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ผลกระทบในเบื้องต้นของสถานการณ์ภัยแล้ง ในปี 2562 ที่ส่งผลกระทบต่อความเสียหายของข้าวนาปรังและอ้อยเป็นหลัก อาจทำให้เกิดมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจราว 15,300 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.1% ของ จีดีพี

แต่ทั้งนี้ เป็นการประเมินในเบื้องต้น ซึ่งหากรวมผลเสียหายของพืชเกษตรอื่น อาจทำให้มีมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากกว่าที่ประเมินไว้ นอกจากนี้ ยังต้องมีการติดตามระยะเวลาและพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเป็นระยะ และอาจต้องมีการทบทวนตัวเลขนี้ตามความเหมาะสมในระยะต่อไป รวมทั้งต้องติดตามสภาพภูมิอากาศในช่วงระยะข้างหน้า เนื่องจากยังไม่สิ้นสุดฤดูแล้ง และระดับความรุนแรงของฤดูแล้งอาจไม่เท่ากันในแต่ละเดือน

ทั้งนี้ แม้ว่าตัวเลขผลกระทบดังกล่าวอาจมีผลไม่มากนักต่อภาพรวมเศรษฐกิจในระดับประเทศ รวมทั้งไม่กระทบต่อประมาณการเศรษฐกิจไทยของศูนย์วิจัยกสิกรไทยในปัจจุบัน ที่คาดว่าจะขยายตัว 3.5-4.2% ในปี 2562

อย่างไรก็ตาม ในระดับภูมิภาค จากเหตุการณ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้นย่อมส่งผลกระทบค่อนข้างมากต่อคนในพื้นที่ ซึ่งจะยิ่งเป็นการฉุดกำลังซื้อครัวเรือนภาคเกษตร การมีงานทำ รวมทั้งปัญหาในภาคธุรกิจ เอสเอ็มอี

อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาระดับความรุนแรงของสถานการณ์ภัยแล้งที่จะเกิดขึ้นโดยเฉพาะในเดือนเมษายนที่จะเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเต็มรูปแบบ ดังนั้น เกษตรกรอาจต้องมีการวางแผนการเพาะปลูกให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำอย่างเหมาะสม หรือเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นที่ใช้น้ำน้อยทดแทนเพื่อเป็นรายได้เสริม

นอกจากนี้ ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องยังต้องระมัดระวังในการใช้น้ำ ตลอดจนต้องมีการเตรียมพร้อม/วางแผนเพื่อรับมือกับสถานการณ์น้ำดังกล่าวได้อย่างเป็นระบบ ก็อาจช่วยลดผลกระทบต่อรายได้เกษตรกร ซึ่งอาจส่งผลต่อธุรกิจที่ต้องอาศัยกำลังซื้อของกลุ่มเกษตรกรเป็นหลัก ท่ามกลางภาวะที่ราคาสินค้าเกษตรยังคงให้ภาพที่ไม่ดีนัก