เผยแพร่ |
---|
สกว.จับมือ 4 มหาวิทยาลัยดัง วิเคราะห์แนวทางที่เหมาะสมในการพัฒนาโครงสร้างระบบโลจิสติกส์พื้นฐานในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ส่งต่อให้สมาคมขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ไทย และบริษัท ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จำกัด เตรียมพร้อมสู่การขับเคลื่อนเป็นมหานครแห่งเอเชีย
3 เมษายน 2562 – สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.), สมาคมขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ไทย, บริษัท ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จำกัด, คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, คณะวิทยาศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง, คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และวิทยาลัยการศึกษาและการจัดการทางทะเล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกันลงนามในพิธีบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ “การสร้างศักยภาพการแข่งขันให้ผู้ประกอบการโลจิสติกส์ขนส่ง และการจัดการระบบโลจิสติกส์กรุงเทพมหานครและปริมณฑล” ณ โรงแรมรอยัลซิตี้ ปิ่นเกล้า
ศ.นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ ผู้อำนวยการ สกว. กล่าวว่า ความร่วมมือนี้จัดทำขึ้นเพื่อสนับสนุนความร่วมมือในการดำเนินการศึกษาระบบโลจิสติกส์กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อเตรียมความพร้อมการเป็น “มหานครแห่งเอเชีย” ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัยมุ่งเป้าของ สกว. ที่ดำเนินการสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของ สกว. ในการนำผลวิจัยไปใช้ประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา สกว. ได้ให้การสนับสนุนงานวิจัยด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทานมาโดยตลอด ภายใต้กรอบการวิจัยและพัฒนาด้านวิชาการเพื่อสร้างศักยภาพการแข่งขันให้ผู้ประกอบการและการจัดการระบบโลจิสติกส์กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยมี รศ.ดร.ดวงพรรณ กริชชาญชัย หัวหน้าศูนย์การจัดการโลจิสติกส์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นหัวหน้าโครงการ และมีสถาบันการศึกษาทั้ง 4 แห่ง รับผิดชอบการดำเนินงานด้านวิชาการ ขณะที่สมาคมขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ไทย และบริษัท ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จำกัด จะดำเนินการสนับสนุนข้อมูล และนำผลวิจัยไปประยุกต์ใช้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการวางแผนโครงสร้างพื้นฐาน เครือข่ายระบบ และความร่วมมือกันขนส่งสินค้า ผลงานวิจัยชิ้นนี้มิได้เพียงทำให้ระบบโลจิสติกส์ในเขตเมืองมีประสิทธิภาพ แต่ยังสามารถลดจำนวนรถในการขนส่ง ส่งผลให้เกิดการลดมลพิษในเขตเมือง พร้อมทั้งยกระดับศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยอีกด้วย
รศ.ดร.ดวงพรรณ กริชชาญชัย ระบุว่าประเทศไทยมีแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยเริ่มจากกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นเมืองหลวง กระจายไปยังเขตจังหวัดปริมณฑล (นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร) รวมถึงหัวเมืองหลักต่างๆ ตามภูมิภาค ซึ่งนับว่าเป็นเขตเศรษฐกิจที่มีความสำคัญของประเทศ หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญและเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศคือ ปัจจัยทางด้านต้นทุนโลจิสติกส์ โดยต้นทุนค่าขนส่งสินค้ายังคงเป็นองค์ประกอบใหญ่ที่สุด สาเหตุหลักมาจากปัญหาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ รวมถึงขาดการบริหารจัดการที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ และเขตจังหวัดปริมณฑลมีแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลถึงระบบโลจิสติกส์ที่ต้องรองรับการไหลของสินค้าที่เพิ่มขึ้นไปด้วย
จากปัญหาดังกล่าวทีมวิจัยได้ดำเนินโครงการระยะที่ 1 โดยศึกษาข้อมูลระบบโลจิสติกส์กระบวนการไหล ของสินค้า โครงสร้างพื้นฐาน ระบบคมนาคมขนส่ง และข้อมูลหมวดสินค้าที่สำคัญที่ส่งผลต่อระบบโลจิสติกส์ในเขต กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงประเมินสภาพปัจจุบันและแนวโน้มในการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ในเขตเมืองในอนาคต ซึ่งสามารถสรุปผลได้ว่าแนวทางในการพัฒนาโครงสร้างระบบโลจิสติกส์พื้นฐานในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่สำคัญคือ ควรมีการสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้า (City Distribution Centre: CDC) และศูนย์กระจายสินค้าย่อยในเขตเมือง เพื่อรองรับธุรกิจ E-Commerce ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น เพื่อส่งเสริมการบริการจัดส่งสินค้าในช่วงสุดท้ายให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
ในโครงการระยะที่ 2 คณะวิจัยได้นำความรู้และสิ่งที่ค้นพบดังกล่าวมาต่อยอดแนวคิดของการทำให้เกิด CDC ผนวกกับการสร้างแพลตฟอร์มร่วมขน Joint Delivery System (JDS) จะสามารถสร้างระบบเครือข่ายใหม่ในโซ่อุปทานการขนส่งในเขตเมืองและปริมณฑลได้ โดย CDC จะเป็นศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้าขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ แปรผันตามขนาดชุมชนในเขตเมือง และทำหน้าที่รวบรวมและกระจายสินค้าภายในพื้นที่ ให้สามารถลดการขนส่ง เคลื่อนย้ายที่ไม่จำเป็น มีการร่วมขนของผู้ประกอบการ ช่วยให้ลดจำนวนเที่ยวรถในการขนส่งและลดจำนวนรถเที่ยวเปล่า ส่งผลให้ลดมลพิษที่เกิดจากการขนส่งลงได้ นอกจากนี้ CDC ที่มีขนาดเล็กในเมืองยังสามารถใช้รองรับการเติบโตอย่างรวดเร็วของโลจิสติกส์ E-Commerce และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันกับต่างชาติได้ เพื่อเป็นการกำหนดแนวทางระบบการจัดการโลจิสติกส์ในภาคการขนส่งสินค้าที่มีประสิทธิภาพในอนาคต และพัฒนาขับเคลื่อนให้กรุงเทพฯ และปริมณฑลก้าวสู่การเป็น “มหานครแห่งเอเชีย”
นายพีระ อุดมกิจสกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จำกัด กล่าวระหว่างการเสวนา “แนวโน้มและทิศทางการจัดการระบบโลจิสติกส์กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และบทบาทผู้ให้บริการโลจิสติกส์ในอนาคต” ว่าปัจจุบันมีคลังค้าขนาดค่อนข้างใหญ่พื้นที่ประมาณ 21,000 ตารางเมตร มีสาขาตามหัวเมืองใหญ่ในแต่ละภูมิภาค 9 สาขา ทำหน้าที่เป็นทั้งผู้ขนส่ง ผู้ให้บริการคลังสินค้า และผู้นำส่งสินค้าให้ถึงบ้าน ทั้งนี้ จุดที่เหมาะสมสำหรับ CDC ในกรุงเทพมหานครมีอยู่ 3 จุด คือ คลังบางนา หลักสี่ และหัวลำโพง โดยจะต้องช่วยกันผลักดันให้ธุรกิจขนส่งสินค้าเป็นของคนไทย มีศูนย์กลางให้งานวิจัยเกิดผลสำเร็จโดยความร่วมมือของทุกฝ่าย
ขณะที่ นายชุมพล สายเชื้อ นายกสมาคมขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ไทย กล่าวว่า ปกติเราขนส่งสินค้าและบริการ รวมถึงพืชไร่ เป็นงานโชห่วยในปริมาณค่อนข้างเยอะ แต่ปัจจุบัน E-Commerce มีสัดส่วนร้อยละ 4 และโตขึ้นมากประมาณร้อยละ 10 ทุกปี จำเป็นต้องมีการจัดส่งด่วนจำนวนมากรองรับ แต่มีบริษัทของคนไทยเพียง 2-3 แห่ง เล่นหลักของ E-Commerce ส่วนใหญ่จะเป็นต่างชาติ เช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ยุโรป ขณะที่เคอร์รี่โตร้อยละ 100 เราต้องมาคิดกันว่าทำอย่างไรจะให้บริษัทของคนไทยสนใจตลาด E-Commerce ทั้งนี้ จากงานวิจัยของ สกว. การส่งร้านค้าส่ง ค้าปลีก และส่งถึงบ้านในบางครั้งอาจจะต้องร่วมมือกันทำการขนส่งสินค้าจำนวนมากไปยังโกดังแล้วให้ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่นช่วยกระจาย เราจำเป็นต้องใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน แชร์คนและงานภายใต้ JDS จึงจะช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการขนส่งทั้งหมดและตอบโจทย์ลูกค้าได้ สมาชิกจะต้องปรับเปลี่ยนมุมมองในการจัดส่งสินค้าภายใต้ต้นทุนที่แข่งขันได้ และผลประโยชน์ตกอยู่ที่ผู้บริโภค