“หัวปลี” สุดยอดเมนูดอกไม้ต้านอนุมูลอิสระ-แคลอรีต่ำ เทรนด์กินแทนเนื้อสัตว์ของฝรั่ง

ทำไม ฝรั่งจึงหันมานิยมกินปลีกล้วย?

กระแสสนใจการกินพืชผักมากขึ้น กินเนื้อสัตว์ลดลง และมีคนจำนวนมากหันมากินมังสวิรัติด้วย

แต่ก็ต้องยอมรับว่าอาหารการกินนั้นเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง รสชาติการปรุงแต่งเมื่อได้เคี้ยวกินแล้วย่อมให้รสกลิ่นสีมีความอร่อยด้วย

ปรากฏว่าลิ้นฝรั่งกินปลีกล้วยแล้วได้รสสัมผัสคล้ายกินเนื้อสัตว์ จึงเริ่มนิยมนำไปปรุงแต่งอาหารแนวอาหารสุขภาพที่ลดเนื้อสัตว์ แต่ยังได้กลิ่นรสแบบเนื้อสัตว์นั่นเอง

พอฝรั่งหันมาสนใจปลีกล้วย ก็เท่ากับมากระตุ้นให้คนไทยรื้อฟื้นภูมิปัญญาดั้งเดิมที่เราคุ้นเคยมานาน นั่นคือยาบำรุงน้ำนม ซึ่งในอดีตแทบทุกบ้านที่มีหญิงคลอดบุตรจะรู้จักปรุงอาหารและปรุงยาประจำบ้านเพื่อบำรุงน้ำนมกันเป็นเรื่องปกติ

เมนูฟิชแอนด์ชิพส์ (Fish and Chips) สไตล์มังสวิรัติ โดยใช้หัวปลีแทนปลา

หากจะพูดให้เก๋ เป็นจุดขาย ก็น่าจะพูดได้ว่า “เมนูดอกไม้” บำรุงน้ำนม เพราะหัวปลี หรือ banana blossom ก็คือ ส่วนของดอกกล้วย ที่ยังไม่ได้โตจนกลายเป็นผลกล้วย จึงยังเป็นส่วนที่มีกาบห่อหุ้มอยู่ภายนอกเรียงตัวทับซ้อนกันแน่นเป็นรูปดอกบัวตูมทรงสูงนั่นเอง หัวปลีนำมากินดิบและสุกก็ได้ เช่น กินดิบเป็นผักเคียง เช่น กินกับผัดไทย ซึ่งจะมีรสชาติฝาดๆ แต่ถ้าต้มสุกจะมีรสชาติอร่อยมีหวานน้อยๆ

ยำหัวปลี

ในทางยาแพทย์แผนไทยหรือยาพื้นบ้าน ถือว่าหัวปลีนอกจากเป็นอาหารบำรุงน้ำนมของสตรีให้นมลูกแล้ว หัวปลีคือ ยาบำรุงเลือด แก้ภาวะโลหิตจาง ลดน้ำตาลในเลือด และแก้โรคเกี่ยวกับลำไส้ด้วย

น่าจะอธิบายได้ว่า จากการศึกษาในปัจจุบันพบว่า ปลีกล้วย มีธาตุเหล็กอยู่จำนวนมากพอสมควร จึงมีส่วนในการบำรุงเลือด แก้ภาวะโลหิตจาง และมีสูตรยาโบราณขนานหนึ่ง กล่าวว่า ปลีกล้วย แก้ปัญหาปวดท้องโรคกระเพาะ และปัญหาลำไส้ โดยให้นำหัวปลีมาเผาแล้วคั้นเอาแต่น้ำมากินครั้งละประมาณ 1/2 แก้ว ควรกินก่อนกินอาหารแต่ละมื้อสัก 1 ชั่วโมง หัวปลีจะเป็นยาคล้ายๆ จะช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร

ซึ่งเคยมีงานศึกษาในต่างประเทศพบว่า สารสกัดจากหัวปลีสามารถลดการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้มากถึง 47.88-87.63% โดยเฉพาะในกลุ่มที่ทดลองที่มีอาการแผลในกระเพาะอาหารที่เกิดจากผลการดื่มสุรา จึงเท่ากับสอดคล้องกับภูมิปัญญาดั้งเดิมของเรา

นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า การนำเอาหัวปลีกล้วย 1 หัว มาย่างไฟให้เปลือกชั้นนอกไหม้เกรียม แล้วนำไปต้มกับน้ำ (ใส่น้ำพอท่วมหัวปลี) ให้เดือด แล้วกินน้ำยาหัวปลีต่างน้ำให้หมดในวันนั้น วันรุ่งขึ้นต้มใหม่ กิน 7 วัน จะช่วยบรรเทาอาการเบาหวานหรือช่วยลดน้ำตาลในเลือด

แต่ผู้เป็นเบาหวานควรควบคุมอาหารการกินและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย

ในปลีกล้วยยังมีสาระสำคัญในกลุ่มฟีโนลิก เช่น แอนโทไซยานิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงเป็นอาหารสุขภาพที่กินเป็นประจำย่อมช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่างๆ ได้ และที่พิเศษจริงๆ ที่ชาวต่างชาติสนใจก็ตรงที่หัวปลีมีแคลอรีต่ำ แต่มีคุณค่าทางโภชนาการไม่ธรรมดา มีแคลเซียมสูง มีโปรตีน มีธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส วิตามินซี และเบตา-แคโรทีน ถ้าได้ทำเป็นเมนูอาหารกินเป็นประจำ ก็คืออาหารเพื่อสุขภาพชั้นเลิศดีๆ นี่เอง