“มะระขี้นกยักษ์” โอกินาวา 3 สายพันธุ์จากญี่ปุ่น ปลูกได้ดี สร้างรายได้งาม กิโลกรัมละ 100 บาท ที่พิจิตร

เก็บผลผลิตโดยตะกร้าจะต้องรองด้วยกระดาษหรือใบตองเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวเป็นรอย

(ต่อจากฉบับที่ 693)

วิธีการห่อผลมะระ

ผู้ปลูกจะห่อผลหรือจะไม่ห่อผลก็ได้ ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมของแต่ละพื้นที่ เช่น พื้นที่ที่ไม่มีแมลงศัตรูระบาดมากนัก อย่าง แมลงวันทอง ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องห่อผล แต่ถ้าเป็นพื้นที่ที่มีการระบาดควรที่จะห่อผลมะระ

ความยาวของผลมะระโอกินาวา 3 สายพันธุ์ คือ จูนางะ (ซ้าย) อะบาชิ (กลาง) ชิมะยูทากะ (ขวา)

เมื่อมะระอายุได้ประมาณ 30-40 วันหลังปลูก จะเริ่มออกดอกและติดผล พอผลมะระโตได้ 7-10 วัน หลังดอกตัวเมียโรย หรือมะระผลยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร ก็เริ่มห่อผลได้ทันที (ถ้าห่อตอนผลเล็กมากกว่านี้ จะทำให้ผลเหลืองและร่วง) กรณีที่ต้องการห่อผลเพื่อเลี่ยงการทำลายจากแมลงวันทองหรือแมลงศัตรูที่จะมาทำลายผิว แต่ในพื้นที่ไม่มีการระบาดจากแมลงวันทองก็ไม่จำเป็นต้องห่อผลก็ได้

เวลาห่อผลสามารถใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ ทำเป็นถุง ขนาด 15×20 เซนติเมตร ปากถุงเปิดทั้งสองด้าน นำปากถุงด้านหนึ่งสวมผลมะระ แล้วใช้ที่เย็บกระดาษเย็บปากถุงให้แขวนอยู่บนก้านของผลมะระ ถุงห่อรีเมย์ ก็จะมีเชือกรูดสวมถุงมัดได้ทันที, ถุงห่อสีขาว ก็จะมีลวดมัดให้ที่ปากถุง (ถุงห่อรีเมย์ และถุงห่อสีขาว บริษัท ชุนฟง มีจำหน่าย) มะระที่ห่อผลจะค่อนข้างสวย ผิวมีสีเขียวอ่อน

ต้นมะระขี้นกยักษ์โอกินาวา อายุได้ประมาณ 60 วัน มะระรุ่นแรกที่ออกดอกก่อนจะเริ่มแก่ทยอยเก็บผลได้ ซึ่งหลังมะระขี้นกยักษ์โอกาวาติดผลอ่อนขนาดเล็ก จากนั้นอีกประมาณ 12-18 วัน ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวขายหรือรับประทานได้ มะระขี้นกยักษ์โอกินาวาสามารถเก็บเกี่ยวได้นานประมาณ 5-10 รุ่น นั้นก็จะขึ้นอยู่กับสภาพต้นการดูแลรักษา ฤดูกาลปลูก เป็นต้น โดยตลอด 2 ปี ที่ผ่านมา ที่สวนคุณลี จำหน่ายมะระโอกินาวาได้ กิโลกรัมละ 100 บาท ออกจากสวน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งพืชผักที่สร้างมูลค่าผลตอบแทนแก่เกษตรกรได้เป็นอย่างดี

มะระโอกินาวาพันธุ์อะบาชิ

โรคและแมลงศัตรูมะระขี้นกยักษ์โอกินาวา

ก็จะเหมือนพืชตระกูลมะระหรือแตงทั่วไปในบ้านเรา จะมีการทำลายหรือระบาดก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม หรือช่วงฤดูกาลปลูก ซึ่งจากที่ “สวนคุณลี” อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร โทร. 081-886-7398 ปลูกมะระโอกินาวามาประมาณ 2 ปี และปลูกมาตลอดทั้งปี ก็สามารถสรุปโรคและแมลงศัตรูที่พบกับมะระขี้นกยักษ์โอกินาวาในเบื้องต้น ดังนี้

“เพลี้ยไฟ” ช่วงอากาศร้อนอบอ้าว แห้งแล้ง ให้เฝ้าระวังการระบาดของเพลี้ยไฟ แต่อย่างไรก็ตามในสภาพบ้านเราการขยายพันธุ์หรือการระบาดของเพลี้ยไฟมีได้ตลอดปี แต่อาจจะรุนแรงเป็นระยะๆ เพลี้ยไฟทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะทำลายโดยการดูดกินน้ำเลี้ยง สังเกตจากยอดอ่อนหรือใบอ่อน ซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สังเกตดูที่ใบจะหงิกก็ต้องฉีดยากำจัดเพลี้ยไฟ ซึ่งบางท่านอาจจะเลือกฉีดพ่นด้วยน้ำหมักสมุนไพร เชื้อชีวภัณฑ์ เช่น เชื้อบิวเวอเรีย เป็นเชื้อจุลินทรีย์ที่สามารถเข้าทำลายเพลี้ยไฟได้

มะระโอกินาวาพันธุ์ชิมะยูทากะ

การใช้ ห้ามผสมสารเคมี และควรฉีดในช่วงเวลาเย็น แต่ถ้าเห็นว่าระบาดมากควรใช้สารเคมีสกัดยับยั้งเสียก่อน ซึ่งเพลี้ยไฟมีการระบาดที่เร็ว ยกตัวอย่าง สารที่มีความปลอดภัยสูง อย่าง กลุ่มอิมิดาคลอพริด (เช่น โปรวาโด, สลิง เอ็กซ์, โคฮีนอร์, เสือพรีอุส) ฉีดสลับด้วยสารกลุ่มต่างๆ เพื่อป้องกันการดื้อสารเคมี เช่น สารกลุ่มคาร์โบซัลแฟน (เช่น โกลไฟท์), กลุ่มฟิโฟนิล (เช่น เฟอร์แบน), กลุ่มคาร์บาริล (เช่น เซฟวิน, เอส-85) เป็นต้น เนื่องจากเพลี้ยไฟบินในเวลากลางวัน ในช่วงเช้าจนถึงบ่าย คือเริ่มพบเพลี้ยไฟมากในช่วง 08.00-13.00 น. สูงสุดในเวลา 09.00-10.00 น. หลังจากนี้จะพบเพลี้ยไฟน้อยลง โดยเฉพาะในเวลา 18.00-06.00 น. จะพบน้อยมาก ก็ต้องเลือกเวลาฉีดที่เหมาะสม

มะระโอกินาวาพันธุ์จูนางะ

“แมลงหวี่ขาว” เป็นแมลงประเภทปากดูดขนาดเล็ก มักอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใต้ใบพืช หนึ่งในแมลงศัตรูพืชสำคัญ มีการระบาดและทำความเสียหายให้กับพืชผักเกือบทุกชนิด โดยเฉพาะฤดูร้อนจะมากเป็นพิเศษ แมลงหวี่ขาวสามารถเข้าทำลายได้ทุกระยะการเจริญเติบโตของพืช โดยทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะอาศัยดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบและยอดอ่อนของพืช การทำลายของตัวอ่อนทำให้เกิดเป็นจุดสีเหลืองบนใบพืช ใบพืชหงิกงอ ขอบใบม้วนลงด้านล่าง ต้นแคระแกร็น และเหี่ยว หากพบทำลายในปริมาณมากอาจทำให้พืชตายได้ นอกจากนี้ ยังเป็นแมลงพาหะนำเชื้อไวรัส สาเหตุโรคใบด่างในพืชต่างๆ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผลผลิตลดลงหรือต้นตาย

การป้องกันและกำจัด การจัดการแปลงปลูกพืช หากพบแมลงหวี่ขาวใต้ใบพืชจำนวนมาก ให้ตัดเก็บส่วนของพืชเผาทำลายเพื่อป้องกันการระบาด หรือหลังเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วให้เก็บเศษซากพืชออกนอกแปลงปลูก และทำความสะอาดแปลงปลูกและพื้นที่รอบๆ

มะระโอกินาวาพันธุ์ชิมะยูทากะ ทรงผลยาวคล้ายผลนุ่น

การใช้กับดักกาวเหนียวโดยอาศัยพฤติกรรมของแมลงซึ่งชอบบินเข้าหาวัตถุสีเหลือง การติดกับดักกาวเหนียวนอกจากสามารถลดจำนวนแมลงได้ระดับหนึ่งแล้ว ยังสามารถใช้ในการตัดสินใจในการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดแมลงต่อไป

การควบคุมโดยชีวภัณฑ์ การใช้ “เชื้อราบิวเวอเรีย” เป็นจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคกับแมลง เข้าทำลายแมลงในสภาพความชื้นที่เหมาะสม เส้นใยจะเข้าตามช่องว่างของแมลง เจริญเติบโตโดยใช้เนื้อเยื่อของแมลงเป็นอาหารจนแมลงตาย

ส่วนการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดแมลงหวี่ขาว หากพบแมลงหวี่ขาวจำนวนมาก หรือเกิดการระบาด ควรพ่นสารกลุ่มออกฤทธิ์ที่แนะนำให้ใช้ สำหรับป้องกันกำจัดแมลงหวี่ขาวโดยเฉพาะ ควรพ่นสารจากกลุ่มที่ออกฤทธิ์น้อยก่อน และ/หรือสลับกับกลุ่มที่มีสารออกฤทธิ์เพิ่มขึ้น เช่น พ่นสารกลุ่มที่มีกลไกการออกฤทธิ์แบบสัมผัสก่อนพ่นสารกลุ่มที่มีกลไกการออกฤทธิ์แบบดูดซึม เป็นต้น และควรใช้สารเคมีตามอัตราที่แนะนำ เช่น กลุ่มอิมิดาคลอพริด (เช่น โปรวาโด, สลิง-เอ็กซ์, โคฮีนอร์, เสือพรีอุส) ฉีดสลับด้วยสารกลุ่มต่างๆ เพื่อป้องกันการดื้อสารเคมี เช่น สารกลุ่มคาร์โบซัลแฟน (เช่น โกลไฟท์), กลุ่มคาร์บาริล (เช่น เซฟวิน, เอส-85), อะเซทามิพริด (เช่น โมแลน), ไดโนทีฟูแรน (เช่น สตาร์เกิล) เป็นต้น

มะระโอกินาวาจูนางะ ทรงผลเรียวยาวเป็นทรงกระบอก

“หนอน” ก็จะคอยทำลายกัดกินใบ ยอด และส่วนต่างๆ ของต้นมะระ ระบาดทุกช่วงอายุโดยเฉพาะช่วงที่ฝนตก

กรณีใช้สารชีวภัณฑ์ เชื้อแบคทีเรีย “บาซิลัส ทูริงเยนซิส” หรือ “เชื้อบีที” เป็นจุลินทรีย์ชนิดหนึ่งในธรรมชาติ ที่มีฤทธิ์ในการทำลายแมลงโดยเฉพาะหนอนผีเสื้อที่เป็นศัตรูของพืชที่สำคัญทางเศรษฐกิจหลายชนิด เมื่อหนอนกินเชื้อบีทีเข้าไป สารพิษที่บีทีสร้างขึ้นจะไปมีผลทำให้ระบบย่อยอาหารของแมลงล้มเหลว กระเพาะบวมเต่งและแตก ส่งผลให้แมลงหยุดกินอาหาร เคลื่อนไหวช้า ชักกระตุก เป็นอัมพาต และตายภายใน 1-2 วัน เชื้อบีทีจึงสามารถใช้ในการควบคุมหนอนผีเสื้อ ศัตรูพืชหลายชนิดที่ดื้อต่อสารเคมีได้ดี ในขณะเดียวกันเชื้อบีทียังเป็นเชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์ ไม่มีพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อม ควรใช้เชื้อบีทีในขณะที่หนอนยังเล็กอยู่ ควรพ่นในตอนเย็นเพื่อเลี่ยงแสงแดด

การฉีดพ่นในขณะมีความชื้นในแปลงสูงจะได้ผลดียิ่งขึ้น ควรฉีดพ่นติดต่อกัน 2-3 ครั้ง และควรผสมสารจับใบทุกครั้ง ถ้ามีการระบาดมากก็เลือกใช้สารป้องกันกำจัดแมลง เช่น กลุ่มอะบาเม็กติน (เช่น โกลแจ็กซ์) กลุ่มไซเพอร์เมทริน (เช่น โกลน็อค-35, เมกก้า 50)

ทยอยห่อผลมะระขี้นกยักษ์โอกินาวา

“แมลงวันทอง” ทำลายพืชผลผิวบางกว่า 300 ชนิด แมลงวันผลไม้มีพฤติกรรมการหากินในเวลากลางวัน โดยเฉพาะในเวลาเช้าไม่ชอบช่วงที่มีอากาศแห้งแล้งและแสงแดดจัด

การป้องกันกำจัด ทำได้หลายวิธี สามารถนำวิธีการต่างๆ ที่เหมาะสมมาผสมผสานกัน เพื่อให้ได้เทคโนโลยีที่สามารถควบคุมแมลงวันผลไม้ที่มีประสิทธิภาพที่สุด อย่าง “การห่อผล” เป็นวิธีที่เกษตรกรนิยมมากวิธีหนึ่ง การห่อผลนับว่าเป็นวิธีที่สามารถควบคุมการทำลายของแมลงวันผลไม้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

“โรคราน้ำค้าง” ระบาดและพบมากช่วงหน้าฝนและหน้าหนาว ความชื้นสูง น้ำค้างมาก มักพบมีแผลเหลี่ยมเล็กสีเหลืองบนใบ และเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือเทาดำ กรณีที่มีความชื้นสูงในตอนเช้า จะพบเส้นใยเชื้อราเป็นขุยสีเทาดำตรงแผลใต้ใบ หากสภาพแวดล้อมเหมาะสมโรคจะระบาดรวดเร็ว ทำให้ใบเหลืองและแห้งตายทั้งต้น

วิธีแก้ไข หากพบเริ่มระบาด ให้เกษตรกรพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช เช่น แมนโคเซบ+เมทาแลกซิล หรือสารไดเมทโธมอร์ฟ หรือสารอีทาบ็อกแซม ผสมกับสารโพรพิเนบ (เช่น แอนทราโคล) ฉีดพ่น ได้ผลดีและไม่เป็นอันตรายต่อดอกและผล

โดยการใช้สารป้องกันกำจัดโรคและแมลง หรือจะเป็นสารชีวภัณฑ์ หรือน้ำหมักสมุนไพรไล่แมลงนั้นก็ขึ้นอยู่กับแนวทางของแต่ละสวนที่จะเลือกใช้ โดยสวนคุณลีจะใช้สารป้องกันกำจัดโรคและแมลงในช่วงเริ่มปลูกจนถึงช่วงต้นมะระขี้นกเริ่มออกดอก ก็จะหยุดการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดแมลง แต่จะมาใช้สารชีวภัณฑ์ที่ปลอดภัยแทน เน้นไปที่ปุ๋ยและฮอร์โมนอาหารเสริมแทน เช่น แคลเซียม-โบรอน ธาตุอาหารรอง เพื่อช่วยในการออกดอกติดผลที่สมบูรณ์ และจะเน้นการ “ห่อผล” มะระขี้นกโอกินาวาเป็นสำคัญเพื่อป้องกันผลมะระให้ปลอดภัย

เก็บผลผลิตโดยตะกร้าจะต้องรองด้วยกระดาษหรือใบตองเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวเป็นรอย

ผัดมะระแบบโอกินาวา

อาหารยอดนิยมของจังหวัดโอกินาว่า ประเทศญี่ปุ่น มะระโอกินาวา หรือคนญี่ปุ่นเรียก “โกยะ” ถือเป็นผักพื้นบ้านที่มีวิตามินซีสูงในลำดับต้นๆ ส่วนรสขมในมะระเกิดจากสารที่เรียกว่า โมโมร์ดิซิน และชาแลนทินที่อยู่ในเปลือก มีสรรพคุณทางยาในการลดน้ำตาลในเลือด และรักษาโรคเบาหวาน

ที่โอกินาวาเชื่อกันมาแต่สมัยโบราณว่า ความขมของมะระจะช่วยทำให้เลือดสะอาด และช่วยเรื่องความดันเลือดให้คงที่ ด้วยความที่มะระมีวิตามินซีมากกว่ามะนาว 2-3 เท่าตัว มากกว่าหัวกะหล่ำถึง 4 เท่า ทำให้มะระเป็นตัวแทนอาหารของโอกินาวามายาวนาน ซึ่งคนที่ไปเที่ยวโอกินาวาถ้าไม่ได้รับประทานผัดมะระแสดงว่ายังมาไม่ถึง นอกจากมะระโอกินาวาจะมีวิตามินซีแล้ว ยังมีวิตามินอี และยังมีแร่ธาตุต่างๆ เช่น คาเลี่ยม มีใยอาหารอยู่มาก เหมาะสำหรับการป้องกันความอ่อนเพลียที่เกิดในหน้าร้อนด้วย ดังนั้น จึงนำเสนอสูตรการผัดมะระโอกินาวา ดังนี้

ส่วนประกอบ

– มะระโอกินาวา (โกยา) 1 ผล (ประมาณ 250 กรัม)

– เต้าหู้ขาว 1 ก้อน (ประมาณ 300 กรัม)

– ไข่ไก่ 1-2 ฟอง (ตามความพอใจ)

– น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ

– ซีอิ๊วญี่ปุ่น (โชยุ) 1 ช้อนโต๊ะ

– เกลือ และพริกไทยเล็กน้อย

วิธีทำ ผ่าครึ่งมะระตามยาว ใช้ปลายช้อนขูดเมล็ดและเยื่อด้านในทิ้ง คว่ำด้านตัดลงบนเขียง และซอยจากด้านปลายออกเป็นชิ้นบาง ประมาณ 5 มิลลิเมตร ใส่มะระลงในชามอ่าง คลุกเข้ากับเกลือทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที ล้างน้ำให้หมดเกลือ และตั้งให้สะเด็ดน้ำในกระชอน ใช้มือฉีกเต้าหู้ออกเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมขนาดพอคำ ตั้งให้สะเด็ดน้ำในกระชอน ตีไข่จนไข่ขาวไม่เหลือเป็นก้อน อุ่นน้ำมันในกระทะให้ร้อน เรียงเต้าหู้ที่เช็ดด้วยผ้าสะอาดจนแห้งลงในกระทะทีละชิ้น ทอดเต้าหู้ให้เหลืองสุกทั้งสองด้านบนไฟแรง อย่าคนกลับไปมา เพราะเต้าหู้จะเละและเสียรูปทรง ปล่อยให้ด้านหนึ่งเหลืองสุกดีก่อน จึงกลับอีกด้านทอด

พอเต้าหู้เหลืองสุกทั้งสองด้าน ตักขึ้นใส่จาน จากนั้นอุ่นกระทะอีกครั้ง เติมน้ำมันอีก 1 ช้อนโต๊ะ ลงในกระทะและใส่มะระลงไปผัด ประมาณ 1-2 นาที บนไฟระดับกลาง อย่าผัดนานเกินไป ควรให้เนื้อของมะระยังคงความกรอบ ใส่เต้าหู้กลับลงไปในกระทะ ผัดรวมเข้ากับมะระ เทไข่ลงไปและคนเป็นวงกว้างๆ เพื่อให้ส่วนผสมเข้ากัน ระวังอย่าให้เต้าหู้เละและเสียรูปทรง ปรุงรสด้วยซีอิ๊วญี่ปุ่น (โชยุ) เกลือ และพริกไทย ดับไฟ และถ้ามีฝอยปลาโอรมควันแห้ง (คะสึโอะบุชิ) โรยหน้าอาหารก่อนเสิร์ฟ หรือผัดแบบบ้านเรา อาจจะใส่เนื้อหมู เนื้อไก่ ตามความชอบ ใส่น้ำตาล ซีอิ๊วขาว น้ำมันหอย และน้ำปลาปรุงรสให้ถูกปาก

นอกจากนี้ ยังประยุกต์ได้อีกหลากหลายเมนู ตามความชื่นชอบแบบอาหารไทย เช่น ต้มจืดมะระ แกงกะทิใส่มะระ หรือจะใช้เป็นผักเคียง รับประทานกับขนมจีนน้ำยา กุ้งแช่น้ำปลา รับประทานกับน้ำพริก เป็นต้น