อุตสาหกรรมอาหารไทยเร่งเครื่องปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงตลาด เปิดวงเสวนาตอกย้ำภาคเกษตรสำคัญ ในฐานะต้นกำเนิดวัตถุดิบ

บริษัท ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด ในเครือ บริษัท อินฟอร์มาร์ พีแอลซี ประเทศอังกฤษพร้อมจัดงาน Fi Asia 2019 หรืองานแสดงเทคโนโลยี และนวัตกรรม ส่วนผสมอาหารและเครื่องดื่มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย และประกาศเปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมการประกวดนวัตกรรมผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มครั้งที่ 2 โดยมุ่งสนับสนุนผู้ประกอบการไทยปรับตัวรับพฤติกรรมผู้บริโภคและการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมชี้ให้เห็นความสำคัญของภาคเกษตรที่ต้องได้รับการพัฒนาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อเป็นต้นน้ำของวัตถุดิบที่มีคุณภาพในห่วงโซ่การผลิตและช่วยรักษาตำแหน่งเจ้าตลาดด้านอาหารและเครื่องดื่มของไทยบนเวทีโลก ที่มีมูลค่ากว่า 2.6 ล้านล้านในปัจจุบัน

นางสาวรุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการ-ภูมิภาคอาเซียน บริษัท ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด ในเครือ บริษัท อินฟอร์มาร์ พีแอลซี ประเทศอังกฤษ

นางสาวรุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการ-ภูมิภาคอาเซียน บริษัท ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด ในเครือ บริษัท อินฟอร์มาร์ พีแอลซี ประเทศอังกฤษ เปิดเผยว่า มีการคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมอาหารไทยในปี 2562 จะมีมูลค่าประมาณ 2.6 ล้านล้านบาท โดยเป็นการบริโภคภายในประเทศ 1.5 ล้านล้านบาท และเป็นการส่งออก 1.1 ล้านล้านบาท ซึ่งมีประเทศคู่ค้าหลักเป็นกลุ่มอาเซียน รองลงมาได้แก่กลุ่มประเทศอเมริกาเหนือ, แอฟริกา, สหภาพยุโรป และโอเชียเนีย โดยประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ 12 ของโลก ปรับตัวดีขึ้น 2 อันดับ จากอันดับที่ 14 ของโลกในปี 2560 และเมื่อพิจารณาจากมูลค่าส่งออกอาหารในรูปดอลลาร์สหรัฐ พบว่า ไทยมีส่วนแบ่งตลาดโลกเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 2.36 จากร้อยละ 2.34 ในปีก่อนหน้า ขณะที่ประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่ เช่น สหรัฐอเมริกา, บราซิล และจีน ต่างมีส่วนแบ่งตลาดโลกลดลง ส่วนประเทศผู้ส่งออกอาหารที่สำคัญในภูมิภาคอย่างอินเดียและเวียดนาม ต่างมีส่วนแบ่งตลาดโลกลดลงเช่นกัน โดยการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากทั้งปัจจัยของเทคโนโลยีและพฤติกรรมของผู้บริโภค ความเป็น “ดิจิตอล” ได้เข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงแพลตฟอร์มของทุกอย่างในปัจจุบัน นำไปสู่พฤติกรรมของผู้บริโภคที่ไม่เหมือนเดิม ผู้ประกอบการในวงการนี้จึงต้องปรับตัวและอยู่ให้รอดท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและรุนแรง โดยการตามกระแสไปกับเทคโนโลยี นวัตกรรม เทรนด์การรักษ์โลก และความนิยมของการดูแลสุขภาพ

“ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอุตสาหกรรมอาหารเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงของไทย ที่ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศทั่วโลก แต่ในขณะเดียวกัน นานาประเทศก็กำลังมุ่งเข้ามาแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้ ด้วยความหวังว่าจะสามารถช่วงชิงพื้นที่ตลาด ผู้ประกอบการด้านอาหารจึงต้องปรับตัว จะหยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่ได้ เพื่อตามให้ทันต่อยุคสมัยและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยมูลค่าการส่งออกของภาคเกษตรกำลังเป็นที่จับตามอง จากมูลค่า 6,551,718 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 5.1 เร่งขึ้นจากปีก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 4.9 และมีสัดส่วนต่อ GDP รวมทั้งประเทศคิดเป็นร้อยละ 42.4

ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)

ด้าน ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ได้ให้ความเห็นว่า เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่ของประเทศไทยมาจากสินค้าเกษตรเป็นสำคัญ การใช้เทคโนโลยีการเกษตรที่ทันสมัย เกษตรกรรมแบบแม่นยำสูงหรือฟาร์มอัจฉริยะ เกษตรกรรมในเมือง และเกษตรกรรมแบบยั่งยืน รวมไปถึงการจัดการผลิตผลเกษตรแบบครบวงจร จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาภาคการเกษตรของไทย นวัตกรรมเกษตรจึงเป็นเกษตรกรรมยุคใหม่ที่จะมีบทบาทมากขึ้นและถือว่าเป็นเกษตรกรรมของอนาคตอย่างแท้จริง ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่มีคุณภาพดีย่อมมีต้นกำเนิดมาจากแหล่งวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูง ดังนั้น การสนับสนุนให้ภาคเกษตรกรรมไทย ผลิตวัตถุดิบต้นทางได้อย่างมีมาตรฐานโดยนำ STI (องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม) เข้ามาใช้อย่างจริงจัง ย่อมการันตีได้ว่าสินค้าอาหารและเครื่องดื่มจะมีคุณภาพที่ดี ซึ่งจะส่งเสริมให้ประเทศไทยยังคงเป็นฐานการผลิตสำคัญของผลิตผลเกษตรของโลกต่อไป

ผศ.ดร.พิสิฏฐ์ ธรรมวิถี รองคณบดี คณะเทคโนโลยีและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์การเกษตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

ส่วน ผศ.ดร.พิสิฏฐ์ ธรรมวิถี รองคณบดี คณะเทคโนโลยีและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์การเกษตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มี Comparative advantage สำคัญ 2 ประการ คือ Biodiversity and Cultural diversity ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพและความได้เปรียบเหนือผู้ประกอบการประเทศอื่นๆ ที่อาจไม่มี หรือมีเพียงบางปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตของธุรกิจอาหาร เพราะอาหารไม่เพียงแต่รับประทานเพื่อความจำเป็นต่อร่างกายเท่านั้น ยังทำหน้าที่เป็นสื่อกลางของวัฒนธรรม วิถีชีวิต และความเป็นอยู่ของผู้คนผ่านทางอาหารได้อย่างน่าอัศจรรย์อีกด้วย ซึ่งการบริโภคอาหารที่ผ่านมานั้นเป็นเพียงแค่ 1 ในปัจจัย 4 นั่นหมายถึงรับประทานในฐานะอาหาร แต่เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าวันนี้ผู้คนสนใจอาหารในฐานะของ “ผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมสุขภาพ” ในด้านการป้องกัน (Prevention) เพราะในปัจจุบันเราจะเห็นคนสนใจการออกกำลังกาย รักษาสุขภาพกันเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ในเมื่อความคาดหวังของผู้บริโภคเปลี่ยนไปจากการ “กินเพื่ออิ่มอร่อย” มาเป็น “กินเพื่อสุขภาพที่ดี” นั่นคือสิ่งที่กำลังบอกผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholder) ว่าคุณค่าที่เราจะส่งมอบนั้นมีค่ามากมายมหาศาลมากเพียงใดกับผู้บริโภค และนั่นคือคำตอบว่าเหตุใดเกษตรและอาหารของไทยถึงต้องได้การยอมรับในระดับโลก