เตือนกลุ่มภูมิต้านทานต่ำ-เกษตรกร ระวัง “โรคเนื้อเน่า”

เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า โรคเนื้อเน่า หรือเรียกว่า เนคโครไทซิ่ง แฟสไซติส (Necrotizing fasciitis) เป็นโรคติดเชื้อที่ผิวหนังและเนื้อเยื่ออ่อนใต้ผิวหนัง รวมถึงชั้นไขมันและอาจลึกถึงระดับชั้นผังพืด หรือกล้ามเนื้อ ส่วนใหญ่เกิดจากแผลเล็กๆ จึงไม่ได้ให้ความสนใจทำความสะอาด โดยมักพบในกลุ่มเกษตรกร ที่ทำไร่ ทำนา ที่มีโอกาสเกิดบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ และสัมผัสกับเชื้อโรคที่อยู่ในดินหรือในน้ำได้ง่าย

นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีระบบเฝ้าระวังที่จำเพาะต่อโรคเนื้อเน่า จึงมีข้อมูลเฉพาะจากรายงานเฝ้าระวังเหตุการณ์ผิดปกติ (event based surveillance) ซึ่งที่ผ่านมาจะได้รับรายงานผู้ป่วยโดยเฉลี่ยปีละ 100-200 ราย อย่างไรก็ตาม เมื่อสืบค้นไปยังฐานข้อมูล Health data center (HDC) ของกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัด สธ. พบว่า ในปีที่ผ่านมามีการลงรหัสโรควินิจฉัยโรคเนื้อเน่าทั่วประเทศ ประมาณ 19,000 ราย ทั้งนี้ ได้สั่งการให้กองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม และกองระบาดวิทยา ได้ทำการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเพื่อนำข้อมูลมาปรับปรุงในระบบเฝ้าระวังโรคต่อไป

“ส่วนกรณีสงสัยการระบาดที่ จ.น่าน นั้น ได้สั่งการให้สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 1 จ.เชียงใหม่ ซึ่งดูแลพื้นที่ จ.น่าน ลงพื้นที่ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) น่าน เพื่อดำเนินการสอบสวนโรคและให้ความรู้กับประชาชนในพื้นที่” นพ.สุวรรณชัย กล่าวและว่า โรคนี้พบผู้ป่วยมากในช่วงฤดูฝน พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ตำแหน่งที่เกิดส่วนใหญ่คือที่บริเวณขาและเท้า

สาเหตุที่มักพบผู้ป่วยในกลุ่มเกษตรกร เนื่องจากต้องเดินลุยน้ำ หญ้า นาข้าว เหยียบย่ำโคลนระหว่างทำนา เมื่อเชื้อโรคที่พบในดินในน้ำทั่วๆ ไป เข้าไปในแผล จะทำให้เกิดการอักเสบ ลุกลามได้ง่าย รายที่รุนแรงอาจเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด ภาวะไตวาย ช็อก อาจเสียชีวิตได้ ที่สำคัญหากมาพบแพทย์ช้า เมื่อมีอาการรุนแรงถึงขั้นช็อกแล้ว จะทำให้อัตราการเสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาและความรุนแรงด้วย

นพ.สุวรรณชัย กล่าวต่อไปว่า ประชาชนที่มีความเสี่ยงเกิดโรคเนื้อเน่า ได้แก่ ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำหรือเป็นโรคเกี่ยวกับเส้นเลือด เช่น เบาหวาน ไตวาย มะเร็งที่อยู่ระหว่างการรักษาด้วยเคมีบำบัด ผู้สูงอายุ คนอ้วน ผู้ที่กินยาสเตียรอยด์หรือยาชุด ผู้ที่ดื่มเหล้าเป็นประจำ เป็นต้น ต้องระวังอย่าให้มีบาดแผล หลังลุยน้ำย่ำโคลน ให้ล้างทำความสะอาดร่างกายโดยเร็ว หากเกิดบาดแผล ล้างให้สะอาดแล้วใส่ยาฆ่าเชื้อ และหลีกเลี่ยงให้แผลโดนน้ำหรือดิน เพื่อไม่ให้แผลติดเชื้อลุกลามเป็นโรคเนื้อเน่า

“ในการป้องกันโรค ขอให้ประชาชนระมัดระวังอย่าเกิดบาดแผลขึ้น โดยเฉพาะบริเวณขาหรือเท้า แต่หากมีบาดแผลขอให้หลีกเลี่ยงการลุยน้ำ และทำความสะอาดแผลด้วยน้ำสะอาด ฟอกสบู่ และใส่ยาฆ่าเชื้อ ระวังอย่าให้มีสิ่งสกปรกเข้าไปในบาดแผล โดยเฉพาะบาดแผลที่เกิดจากวัสดุที่สกปรก เช่น ตะปู หนาม ไม้ที่อยู่ในน้ำ ทิ่มแทง ควรไปพบแพทย์หรือสถานพยาบาลใกล้บ้าน ทั้งนี้ ถ้าปวดบริเวณแผล บวม ร้อน แดงมากขึ้น หรือมีไข้ร่วมด้วย อาจเกิดการติดเชื้อได้ ให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อรับการวินิจฉัย ซึ่งโรคนี้มียารักษาให้หายได้” นพ.สุวรรณชัย กล่าว