อดีตทหารช่างผันชีวิต ยึด “เกษตรทฤษฎีใหม่” ปลูกทุกอย่างที่กิน รายจ่ายลด รายได้เพิ่ม ครอบครัวมีสุข

กรมวิชาการเกษตร สานต่อโครงการ “5 ประสาน สืบสานเกษตรทฤษฎีใหม่ ถวายในหลวง”

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทย จึงได้จัดทำโครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ขึ้นเพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยส่งเสริมให้เกษตรกรที่มีความสมัครใจจาก 882 อำเภอ รวมทั้งสิ้น 70,000 ราย/ปี น้อมนำหลักทฤษฎีใหม่ไปปรับใช้ในพื้นที่ของตนเองอย่างเหมาะสม สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ของเกษตรกรแต่ละพื้นที่ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรในการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ สร้างอาชีพจากผลผลิตในทำเกษตรทฤษฎีใหม่ในครัวเรือนของตนเอง

นายจำรอง ดาวเรือง รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ที่ผ่านมากรมวิชาการเกษตรได้ดำเนินงานขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมเกษตรทฤษฎีใหม่ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้โครงการ “5 ประสาน สืบสานเกษตรทฤษฎีใหม่ ถวายในหลวง” มาตั้งแต่ปี 2560 ด้วยการส่งเสริมและปลูกฝังให้เกษตรกรและประชาชนศึกษาและน้อมนำองค์ความรู้หลักเกษตรทฤษฎีใหม่ที่ได้รับไปปรับใช้กับพื้นที่เกษตรของตนเองได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับพื้นที่ของเกษตรเพื่อให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น สามารถลดรายจ่ายในครัวเรือนและมีรายได้เสริม

ในปี 2562 กรมวิชาการเกษตร ได้สานต่อโครงการ “5 ประสาน สืบสานเกษตรทฤษฎีใหม่ ถวายในหลวง” โดยได้จัดเตรียมเมล็ดพันธุ์ผักสำหรับแจกจ่ายเกษตรกรในโครงการ 70,000 ราย ทั่วประเทศ เพื่อนำไปใช้ในการเพาะปลูกสำหรับบริโภคในครัวเรือน สามารถพึ่งพาตนเองได้ ช่วยลดรายจ่ายในครัวเรือน สามารถต่อยอดสร้างอาชีพและสร้างรายได้ให้กับครอบครัวได้ต่อไปในอนาคต ซึ่งเมล็ดพันธุ์ผักที่ได้จัดเตรียมไว้ในปีนี้ประกอบไปด้วย กวางตุ้งต้น กะเพรา คะน้าใบ พริกขี้หนู แตงกวา ผักบุ้งจีน มะเขือเทศ มะเขือยาว มะละกอ โมโรเฮยะ ถั่วฝักยาว ถั่วเขียว และข้าวโพดเทียน ส่วนปี 62 นี้ กรมวิชาการเกษตร ได้รับเป้าหมายส่งเสริมเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ จำนวน 3,898 ราย โดยมีกิจกรรมหลักๆ คือการอบรมปรับเปลี่ยนแนวคิดในการทำทฤษฎีใหม่ สนับสนุนปัจจัยการผลิต อบรมให้ความรู้เฉพาะด้านพร้อมติดตามเยี่ยมเยือนแปลงของเกษตรกรอย่างสม่ำเสมอ

Advertisement

สำหรับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ เราจะเน้นความสมัครใจ และไม่เคยทำเกษตรทฤษฎีใหม่มาก่อน มีแหล่งน้ำของตนเองใช้งานได้ตลอดปี ส่วนวิธีการดำเนินโครงการใช้หลักทฤษฎีใหม่และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงส่งเสริมเกษตรกร โดยเริ่มจากทำตามที่ตนเองถนัด 1 อย่างก่อน หรือทำเหมาะสมกับฐานะ จากนั้นให้ลองทําการเกษตรเพิ่มขึ้นอย่างที่ 2 และอย่างที่ 3 เน้นเลือกทำแบบง่ายๆ ลงทุนน้อย มีรายได้ ืจากนั้นค่อยขยายฐานและขยายผลมุ่งให้เกษตรกรลดรายจ่ายมากที่สุดและมีรายได้เพิ่มจากผลผลิตของตนเอง

​ นายจำรอง กล่าวด้วยว่า จากผลดำเนินงานของกรมวิชาการเกษตรที่ผ่านมา ร้อยละ 80 ของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการมีการปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตเป็นแนวเกษตรทฤษฎีใหม่และเกษตรกรที่ร่วมโครงการมากกว่า ร้อยละ 30 สามารถลดรายจ่ายในครัวเรือนได้ โดยแผนงานในปี 62 ได้วางเป้าพัฒนาแปลงสู่เกษตรทฤษฎีใหม่เต็มรูปแบบ ขั้นแรกจะมุ่งทำให้ “พอกิน” ทำให้เกษตรกรมีผลผลิตที่มีคุณภาพปลอดภัยเพียงพอสำหรับการบริโภคในครัวเรือนและสามารถทำให้ “พอแบ่ง” ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พื้นที่ ใช้เทคโนยีที่เหมาะสมตามหลักวิชาการ มีกิจกรรมการเกษตรที่หลากหลายขึ้นเพื่อผลผลิตจะได้เหลือแบ่งปันและมีเหลือเพียงพอจนสามารถจำหน่ายเป็น “รายได้เสริม”

Advertisement

ด้าน นายเกรียงไกร เตชะเสนา นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ กองประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ กรมวิชาการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมวิชาการเกษตร เร่งสร้างเกษตรกรต้นแบบเพื่อเป็นตัวอย่างสามารถสร้างแรงบันดาลใจและแรงจูงใจให้เกษตรกรรายใหม่หันเข้ามาทำเกษตรทฤษฎีใหม่ให้มากขึ้น โดยกรมจะทำหน้าที่ในการเป็นพี่เลี้ยง คอยให้คำแนะนำ ช่วยเหลือตลอดจนให้เกษตรกรวิเคราะห์ตนเองและวางแผนการผลิตตามศักยภาพ โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในพื้นที่ของตนเอง เริ่มจากง่ายและถนัด รวมทั้งเร่งสร้างเกษตรกรต้นแบบและสร้างทายาทเกษตรกรเพื่อขยายผลต่อยอดการเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้นําไปปฏิบัติจริงอย่างแพร่หลายในทุกภูมิภาคของประเทศไทย ส่วนเกษตรกรได้รับความรู้ สามารถปรับเปลี่ยนแนวคิดและรูปแบบในการทำมาหากิน การประกอบอาชีพให้มีศักยภาพในการพึ่งพาตนเอง โดยสามารถลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับตนเองและครอบครัวต่อไป

ด้าน ร.ต ถวิล มาลี อดีตนายทหารจากกรมการทหารช่าง ต.ตะคร้ำเอน อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ที่ใช้ชีวิตหลังเกษียนผันตัวเองยึดแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ยึดแนวทางพ่อหลวง อดีตนายทหารกล่าวว่า    ตนเองได้รับการปลูกฝังในการทำเกษตรทฤษฎีใหม่และเกษตรเศรษฐกิจพอเพียงตั้งแต่ยังประจำการในฐานะนายทหารช่างอยู่ภาคใต้ ซึ่งกองทัพได้บ่มเพาะปลูกฝังให้นายทหารปลูกผักทำกินเองในบริเวณบ้านพัก เมื่อเกษียนออกมาเลยยึดแนวทางดังกล่าวมาโดยตลอด โดยเริ่มต้นปลูกผักสวนครัว 1 ไร่ มะม่วง 1 ไร่กล้วยน้ำว้า 1 งาน จากนั้นขยายผลมาปลูกผักสวนครัว เช่น มะนาว มะเขือ พริก ผักบุ้ง เพื่อบริโภคและจำหน่ายตามฤดูกาล เช่น มีการปลูกกล้วยตามความต้องการในชุมชน

นอกจากนี้ ได้ขยายผล หันมาเลี้ยงไก่ไข่ และไก่พื้นเมือง เพื่อนำไข่มาบริโภค เลี้ยงสุกร จำนวน 30 ตัว เป็ด 20 ตัว ห่าน 5 ตัว มูลไก่และมูลสุกรสามารถนำมาทำปุ๋ยได้ ส่วนด้านการประมง มีบ่อน้ำ 2 บ่อ เพื่อกักเก็บน้ำมาใช้ในการเกษตร และเลี้ยงปลาเพื่อนำมาบริโภคและจำหน่าย ทำให้ทุกวันนี้สามารถนำความรู้ที่ได้จากการอบรมและดูงานนำมาใช้ สามารถถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกรใกล้เคียง

ท้ายสุด อดีตนายทหารช่างวัยเกษียน กล่าวย้ำว่า เกษตรทฤษฎีใหม่สำหรับตน คือการทำเกษตรใกล้ตัวปลูกทุกอย่างที่กินได้ เหลือกินก็นำไปขาย ครอบครัวมีความสุขจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น และรายจ่ายที่ลดลงจากการปฏิบัติตามแนวเกษตรทฤษฎีใหม่ ซึ่งชีวิตประจำวันในครอบครัวแทบไม่ต้องใช้จ่ายเกี่ยวกับอาหารการกินเลย เพราะปลูกพืชผักเกือบทุกชนิดไว้รอบบ้าน นอกจากนี้ ยังเลี้ยงไก่ไข่ ไก่พื้นเมือง เลี้ยงปลามีกิน มีใช้ตลอดปี อยู่กันแบบพอเพียงและมีเงินเหลือเก็บ ตนเองและสมาชิกครอบครัวมีความสุข การทำเกษตรทฤษฎีใหม่ถือว่าเป็นอาชีพอิสระที่ทำแล้วมีความสุข ชีวิตไม่เดือดร้อนในการต้องออกไปดิ้นรนในสังคมเมืองหลวงหรือสังคมเมืองใหญ่เหมือนอาชีพอื่นๆ